ประเมินวงเงินรู้ผลใน 3 นาที

กับ กรุงศรี ออโต้ พร้อมสตาร์ท

เริ่มประเมินวงเงินพร้อมสตาร์ท
ผ่านมือถือ สแกนเลย

ดูวงเงินพร้อมสตาร์ทที่ได้รับ

x
icon-filter ค้นหารถยนต์
product filter
product filter
product filter
product filter
product filter

BMW ยอดขายโตขึ้น เฉพาะรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 348% พร้อมเปิดตัวรุ่นใหม่ 10 รุ่นใน 2567

ข่าว icon 28 ก.พ. 67 icon 635
บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ครองแชมป์ตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียมของประเทศไทยติดต่อกันเป็นปีที่สี่ แบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด มียอดจดทะเบียนได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2566 โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ของบีเอ็มดับเบิลยูที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่า 348% และรถยนต์ในกลุ่ม Luxury Class ที่เติบโตขึ้นกว่า 46% ทั้งนี้ ในปี 2567 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จะต่อยอดความสำเร็จอย่างแข็งแกร่งด้วยการเปิดตัวทัพยนตรกรรมใหม่ถึง 10 รุ่น นำโดยบีเอ็มดับเบิลยู iX2 xDrive30 M Sport, บีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport Pro, บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport Pro, มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ 3 ประตู Classic Edition, มินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน รุ่น Multitone, มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน Highlands Edition รวมถึงมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS, บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR และบีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B ตามเป้าหมายในการส่งมอบตัวเลือกที่หลากหลายครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า
 
 
มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธานและซีอีโอ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมยานยนต์แห่งอนาคต ส่งมอบบริการระดับคุณภาพ นวทางในการดำเนินธุรกิจที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลางของเรา นอกจากนี้เรายังให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยรถยนต์ไฟฟ้า 100% รุ่นใหม่ถึง 6 รุ่นที่เราได้นำมาเปิดตัวสู่ลูกค้าชาวไทย พร้อมนำยนตรกรรมใหม่มาเปิดตัวถึง 10 รุ่น จากทั้งแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ไปจนถึงบริการและสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามความต้องการ เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้าในประเทศไทยของเรา” ย่างก้าวที่แข็งแกร่งในปีที่สี่ เติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับโลก
 
 
ปี พ.ศ. 2566 ยังทำให้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในตลาดยานยนต์พรีเมียมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสี่ปีติดต่อกัน ด้วยยอดจดทะเบียนรวม 15,477 คัน เติบโตขึ้น 3% (แบ่งเป็นบีเอ็มดับเบิลยู 14,128 คัน และมินิ 1,349 คัน) บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน โดยใน ปี พ.ศ. 2566 สามารถทำยอดขายบีเอ็มดับเบิลยู มินิ และโรลส์รอยซ์ได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ คิดเป็นยอดส่งมอบรวม 2,555,341 คันทั่วโลก เติบโตขึ้น 6.5% โดยรถยนต์ในกลุ่มพลังงานไฟฟ้า 100% มียอดขายเติบโตขึ้นถึง 74.4% จากปี 2565 คิดเป็นยอดส่งมอบทั่วโลกรวม 376,183 คัน ทางบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป มองว่าเทรนด์ความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% จะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อไป และคาดการณ์ว่าจะทำยอดขายได้กว่า 500,000 คัน ในปี พ.ศ. 2567 นี้ 
 
 
ยืนหนึ่งในกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์พรีเมียมแห่งอนาคต
กลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู iX3, บีเอ็มดับเบิลยู iX, บีเอ็มดับเบิลยู i4, บีเอ็มดับเบิลยู i5, บีเอ็มดับเบิลยู i7 และมินิ คูเปอร์ เอสอี ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าจากทั้งสองแบรนด์มีอัตราการเติบโตสูงถึง 200% ในปี พ.ศ. 2566 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และมียอดจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 1,604 คัน ถือเป็นการตอกย้ำถึงแนวทางของบีเอ็มดับเบิลยูในการรังสรรค์ยนตรกรรมแห่งอนาคต เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืนยิ่งขึ้นให้แก่ทุกคน นอกจากนี้ ยังชี้ให้เห็นถึงความต้องการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่ยังคงเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มผู้บริโภค ทั้งในตลาดระดับโลกและในประเทศไทย หนึ่งในปัจจัยความสำเร็จดังกล่าวของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย มาจากการนำเสนอยานยนต์พลังงานไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมียนตรกรรมไฟฟ้าให้ผู้บริโภคเลือกซื้อได้ครบ ทั้งจากแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด โดยรุ่นที่โดดเด่น ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู i5 รถยนต์ซีดานที่มาต่อยอดความสำเร็จของตระกูลซีรีส์ 5 ด้วยเทคโนโลยีระดับไฮคลาส ประสิทธิภาพการขับขี่ที่เหนือชั้น และรูปโฉมที่โฉบเฉี่ยวหรูหรา บีเอ็มดับเบิลยู XM 50e ที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นไม่ซ้ำใคร ความสะดวกสบายอันหรูหรา และขุมพลังที่เหนือกว่า รวมทั้ง บีเอ็มดับเบิลยู CE04 สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ที่มาพร้อมขุมพลังในการขับขี่ในตัวเมือง ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% รวมถึงรุ่นล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวในงานดังกล่าวอย่างบีเอ็มดับเบิลยู iX2 และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู CE 02
 
 
นอกจากนี้ รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูในกลุ่ม Luxury Class หรือรถยนต์ระดับไฮเอนด์ของแบรนด์ ได้แก่ บีเอ็มดับเบิลยู 
ซีรีส์ 7, บีเอ็มดับเบิลยู i7, บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 8, บีเอ็มดับเบิลยู X7 และบีเอ็มดับเบิลยู XM ยังคงสร้างผลงานการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในตลาดประเทศไทย ด้วยยอดจดทะเบียนในปี พ.ศ. 2566 ทั้งหมด 668 คัน เติบโตขึ้น 46% จากปีก่อนหน้า ตอกย้ำจุดยืนของบีเอ็มดับเบิลยูในการส่งมอบสุดยอดความเป็นเลิศ นิยามใหม่ของยานยนต์ที่มีความหรูหรา และความเอ็กซ์คลูซีฟที่ไม่มีใครเทียบ ความพึงพอใจของลูกค้าสูงสุดในประวัติศาสตร์ ตอกย้ำแนวทางการดำเนินธุรกิจที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง 
นอกจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งในประเทศไทย บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยังได้รับการประเมินคะแนนความพึงพอใจของผู้บริโภค (Net Promoter Score – NPS) สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งในด้านยอดขายและ
การให้บริการหลังการขายในปี พ.ศ. 2566 ด้วยคะแนนจากผลการประเมินที่ 94 คะแนน และ 90 คะแนนตามลำดับ ซึ่งมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลาสี่ปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่เน้นลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง พร้อมร่วมมือกับเครือข่ายของผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศ เพื่อพัฒนาความพึงพอใจของลูกค้าให้สูงที่สุด มีบริการที่เยี่ยมยอดที่สุด และส่งมอบที่สุดแห่งสุนทรียะด้านการขับขี่ให้แก่ลูกค้าได้ในทุก ๆ ขั้นตอน
 
 
ทั้งนี้ ในช่วงปี พ.ศ. 2565-2566 บีเอ็มดับเบิลยู ได้จับมือกับผู้จำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการหลายราย เพื่อเปิดตัวโชว์รูมโฉมใหม่ในประเทศไทยกว่า 9 แห่ง ภายใต้คอนเซ็ปต์การออกแบบโชว์รูมและศูนย์บริการแบบใหม่ล่าสุด หรือ Retail Next ที่รังสรรค์บรรยากาศในการสัมผัสแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยูที่ผ่อนคลายและใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้นตั้งแต่ก้าวแรก โดยบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ได้ร่วมมือกับเพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส เปิดตัวโชว์รูม เพอร์ฟอร์แมนซ์ มอเตอร์ส ราชพฤกษ์ ที่มาพร้อมโชว์รูมบีเอ็มดับเบิลยู M ซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากบีเอ็มดับเบิลยูเป็น
 
แห่งแรกในย่านราชพฤกษ์และพื้นที่ใกล้เคียง พร้อมด้วยศูนย์ BMW Premium Selection รถยนต์มือสองที่ได้รับการรับรองคุณภาพจากบีเอ็มดับเบิลยู 
นอกจากนี้ ยังได้จับมือกับบริษัท มิลเลนเนียม ออโต้ กรุ๊ป จำกัด เดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ขยายระบบนิเวศทางธุรกิจในพื้นที่ภาคใต้ โดยปักหมุดยุทธศาสตร์จังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยการเปิดโชว์รูมพร้อมศูนย์บริการครบวงจรอย่างเป็นทางการ ‘บีเอ็มดับเบิลยู และ มินิ มิลเลนเนียม ออโต้’ สาขาสุราษฎร์ธานี ขยายเครือข่ายครอบคลุมภาคใต้ อาทิ หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา, ภูเก็ต, นครศรีธรรมราช, สุราษฎร์ธานี, กระบี่, พังงา และอื่น ๆ รวมถึงการร่วมมือกับเนลสัน 
ออโต้เฮ้าส์ ผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการของบีเอ็มดับเบิลยู ขยายพื้นที่ให้บริการลูกค้าในภูมิภาคตะวันออก ด้วยการเปิดตัวโชว์รูมแห่งใหม่ในจังหวัดระยอง พร้อมงบประมาณการลงทุนมากกว่า 100 ล้านบาท ประกอบด้วยโชว์รูมรถยนต์และพื้นที่จัดจำหน่ายสุดโอ่อ่ากว้างขวาง รวมถึงศูนย์บริการด้านการซ่อม พร้อมด้วยศูนย์บริการด้านตัวถังและสีที่ได้รับการรับรองจากบีเอ็มดับเบิลยู เพื่อการบริการลูกค้าอย่างครบครัน และยังได้ร่วมลงทุนในการปรับโฉมโชว์รูมใหม่และขยายพื้นที่อีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น อมร รังสิต, มิลเลนเนียม ออโต้ พระรามสี่, มิลเลนเนียม ออโต้ สยามพารากอน, และมิลเลนเนียม ออโต้ อุบลราชธานี และจะยังคงมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อยกระดับประสบการณ์ลูกค้าด้วย
คอนเซ็ปต์ Retail Next ในอีกหลายแห่งทั่วประเทศ ตลอดปี พ.ศ. 2567 นี้
 
อีกหนึ่งปีแห่งความสำเร็จอย่างต่อเนื่องของ บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย พร้อมนำเสนอบริการใหม่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า
ปี พ.ศ. 2566 ยังคงเป็นอีกหนึ่งปีที่เต็มไปด้วยความท้าทายจากปัจจัยเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาดรวม แต่บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ก็ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง การส่งมอบบริการใหม่ในรูปแบบดิจิทัลที่หลากหลาย และการส่งมอบบริการที่คำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้าเป็นหลัก สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา ทางบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย สามารถสร้างการเติบโตให้กับยอดสินเชื่อรวมได้อย่างแข็งแกร่งที่ 2% เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2565 โดยลูกค้าเจ้าของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ หรือมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด จำนวนประมาณ 50% ยังคงให้ความไว้วางใจและเลือกรับบริการทางการเงินจากบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงคุณภาพของการบริการและความเชื่อมั่นจากลูกค้า ตอกย้ำด้วยผลการประเมินคะแนนความพึงพอใจของผู้บริโภค (NPS Score) ซึ่งได้รับคะแนนประสบการณ์ลูกค้าสูงสุดในปีที่ผ่านมา โดยเพิ่มขึ้นถึง 10 คะแนน ในช่วงท้ายอายุสัญญาทางการเงิน แสดงให้เห็นถึงความพึงพอใจของลูกค้าตลอดระยะเวลาสัญญา
 
โดยธุรกิจสินเชื่อรถยนต์มือสองซึ่งเติบโตกว่า 25% ปีต่อปี มีอัตราการเข้าถึงตลาดลูกค้าองค์กรกว่า 62% ในปีที่ผ่านมา บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ได้เปิดตัว BMW Thailand Web Online Shop ซึ่งช่วยให้ลูกค้ายืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล (National Digital ID - NDID) รวมทั้งการรองรับลายเซ็นดิจิทัลในการให้บริการ เพื่อให้ลูกค้าสามารถสมัครบริการทางการเงินได้อย่างสะดวกสบาย ลดกระบวนการสแกนหรืออัพโหลดเอกสาร รวมถึงช่วยลดระยะเวลา การยืนยันรายละเอียดของสัญญาให้เหลือเพียงไม่กี่คลิก โดยบริการด้านดิจิทัลเหล่านี้ช่วยประหยัดเวลาและอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าขึ้นไปอีกขั้น ช่วยให้กระบวนการประเมินเพื่ออนุมัติการปล่อยสินเชื่อเสร็จสิ้นได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่นาที และยังทำให้กระบวนการดำเนินงานหลังบ้านเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
 
พร้อมกับการเปิดตัวบริการ 'MyBMW Finance' และ 'MyMINI Finance' ให้ลูกค้าเข้าถึงสัญญาทางการเงินและบริการอื่น ๆ ได้ตลอดเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้มีเป้าหมายเพื่อการส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่โดดเด่นและหลากหลาย ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด สร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้า และยกระดับประสบการณ์ ที่ลูกค้าได้รับจากการบริการให้ดียิ่งกว่าเดิม และเปิดตัวธุรกิจประกันภัยพร้อมบริการประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า ภายใต้ชื่อ “บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู อินชัวรันส์ โบรกเกอร์ (ประเทศไทย) จำกัด” อีกด้วย สำหรับในปี พ.ศ. 2567 บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ยังวางแผนที่จะขยายส่วนธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วยการนำเสนอบริการประกันรถยนต์และบริการขยายระยะเวลาการประกัน 
 
ต่อยอดโครงการ  BMW Service Apprentice เพื่อส่งเสริมการพัฒนาทักษะด้านยานยนต์ไฟฟ้าให้แก่นักศึกษาอาชีวะในประเทศไทยที่มีศักยภาพ ผ่านการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) ของรัฐบาล เสริมศักยภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมบริการขนส่งและโลจิสติกส์ โดยมุ่งเน้นการผลักดันการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะความเชี่ยวชาญตรงกับความต้องการของอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยมีนักศึกษาทั้งหมด 282 คนที่ได้เข้าร่วมโครงการจาก 5 สถาบัน และในส่วนของโปรแกรม Dual Excellence ที่ดำเนินการโดยบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป แมนูแฟคเจอริ่ง ประเทศไทย ก็ได้รับนักศึกษาเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 111 คนจาก 2 สถาบัน
 
ร่วมจับมือกับ 6 องค์กรพันธมิตร ได้แก่ กลุ่มเซ็นทรัล มูลนิธิชัยพัฒนา ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เอสซีจี โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ และเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จัดโครงการ CHOICEISYOURS 2023 ในปี พ.ศ. 2566 เพื่อเปิดให้นิสิตนักศึกษาในไทยได้เข้าร่วมกิจกรรมการฝึกอบรมและการลงมือปฏิบัติจริงเป็นระยะเวลา 3 เดือน โดยผู้เข้าร่วมการฝึกอบรมได้เข้าร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ จากองค์กรพาร์ทเนอร์ทั้ง 7 ราย ทั้งในภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อส่งเสริมแรงบันดาลใจให้กับน้อง ๆ ในการต่อยอดแนวคิดด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน นอกจากนี้ นิสิตนักศึกษายังได้รับโอกาสในการไปทัศนศึกษาเยี่ยมการดำเนินธุรกิจขององค์กรพาร์ทเนอร์ เพื่อเรียนรู้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การหมุนเวียนใช้ทรัพยากรในห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการทรัพยากร โดยรักษาคุณค่าของทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรใหม่น้อยที่สุด และจะยังคงดำเนินโครงการอย่างต่อเนื่องในปีนี้เช่นกัน

ไฮไลท์รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ในปี 2567

 
บีเอ็มดับเบิลยู iX2 xDrive30 M Sport ใหม่
ราคาจำหน่าย: 3,399,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)
 
บีเอ็มดับเบิลยู iX2 xDrive30 M Sport ใหม่ เป็นรถยนต์อเนกประสงค์แบบคูเป้ หรือ Sports Activity Coupé (SAC) ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนรุ่นแรก และนับเป็นเจเนอเรชันที่สองของรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู X2 ที่พร้อมขับเคลื่อนตลาดรถยนต์กลุ่มพรีเมียมคอมแพกต์ให้มุ่งสู่อนาคตการขับขี่ที่ยั่งยืน รถยนต์รุ่นนี้ผสานความหรูหรา สมรรถนะการขับขี่ และความคล่องตัวที่สมบูรณ์แบบเข้ากับความมุ่งมั่นของบีเอ็มดับเบิลยู ในการสรรสร้างยนตรกรรมแห่งอนาคตอย่างลงตัว มาพร้อมกับรูปทรงที่ใหญ่ขึ้นและสปอร์ตยิ่งขึ้น โดดเด่นด้วยรูปทรงภายนอกแบบคูเป้ที่สะดุดตา ลายเส้นด้านข้างที่ช่วยเน้นย้ำรูปลักษณ์อันโฉบเฉี่ยวและทรงพลังของตัวรถ ทั้งยังเหนือกว่าด้วยเทคโนโลยีการขับขี่อันล้ำสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ออกแบบมาเพื่อส่งมอบสุนทรียภาพแห่งการขับขี่ในทุกเส้นทาง
 
 
บีเอ็มดับเบิลยู iX2 xDrive30 M Sport ใหม่ มาพร้อมกับดีไซน์ที่เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ในสไตล์ของรถยนต์อเนกประสงค์แบบคูเป้ (Sports Activity Coupé – SAC) ช่วงหน้ารถโดดเด่นด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่แบบ ‘Iconic Glow’ ที่มาพร้อมไฟส่องสว่าง ขับเน้นบุคลิกที่ดุดันของตัวรถให้เผยโฉมอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นโดยเฉพาะในช่วงกลางคืน ส่วนไฟหน้าคู่แบบใหม่ล่าสุด มาพร้อมกับไฟส่องสว่างในเวลากลางวันในดีไซน์แบบ 4 ดวง พร้อมระบบ Adaptive LED ช่วยเพิ่มทัศนวิสัย เสริมความมั่นใจในขณะเข้าโค้ง และยังตอกย้ำคุณลักษณะที่โฉบเฉี่ยวและปราดเปรียวของรถรุ่นนี้ ควบคู่ไปกับไฟท้ายที่มอบกลิ่นอายความสปอร์ตได้ไม่แพ้กัน ส่วนหลังคารถ เติมลายเส้นที่ทอดยาวต่อเนื่องบรรจบกับไฟท้าย ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู iX2 xDrive30 M Sport ใหม่ มีทรวดทรงสไตล์คูเป้ที่ปราดเปรียวในแบบฉบับของ SAC ตัวจริง ผสมผสานอย่างลงตัวกับชุดแต่ง M Sport ที่มาพร้อมกับล้ออัลลอย M ขนาด 20 นิ้ว ลาย V-spoke แบบสลับสี 
 
บีเอ็มดับเบิลยู iX2 xDrive30 M Sport ใหม่ ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี BMW eDrive รุ่นที่ 5 ด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าสองตัว ตัวหนึ่งที่เพลาหน้าและอีกตัวหนึ่งที่ด้านหลัง ซึ่งสร้างกำลังรวมของระบบที่ 225 กิโลวัตต์/306 แรงม้า และเมื่อใช้ฟังก์ชัน Sport Boost หรือ Launch Control จะส่งกำลังรวมสูงสุดที่ 230 กิโลวัตต์/313 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 494 นิวตันเมตร รถรุ่นนี้สามารถเร่งความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายในเวลาเพียง 5.6 วินาที สู่ความเร็วสูงสุดที่ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้วยขุมพลังจากชุดแบตเตอรี่แรงดันไฟฟ้าสูงที่ติดตั้งอยู่ใต้ตัวถังรถ ความจุพลังงานสุทธิ 66.5 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งทำให้บีเอ็มดับเบิลยู iX2 xDrive30 M Sport มีระยะการขับขี่ถึง 
417- 449 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP
 
 
รถยนต์รุ่นนี้รองรับการชาร์จแบบกระแสตรง (DC) สูงสุด 130 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จจาก 0-80% ได้อย่างรวดเร็วในเวลาเพียง 29 นาที ในขณะที่รองรับการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC) สูงสุด 22 กิโลวัตต์ ใช้เวลาชาร์จจาก 0-100% ในเวลา 3 ชั่วโมง 45 นาที นอกจากนั้น ยังติดตั้งระบบช่วยเหลือการขับขี่ (Driving Assistant) ซึ่งสามารถอัปเกรดให้เป็นระบบช่วยเหลือการขับขี่ รุ่น Plus (Driving Assistant Plus) ผ่านทาง ConnectedDrive Store ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยทั้งในแง่ของการขับขี่ในชีวิต ประจำวันและการเดินทางระยะไกลอีกด้วย ช่วงล่าง Adaptive M ยังช่วยให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสทั้งรูปแบบการขับขี่แบบสะดวกสบายหรือสไตล์สปอร์ตอันเร้าใจ ส่วนระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus ยังมอบความสะดวกสบายที่เหนือกว่า ให้การจอดรถและการบังคับรถทำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
 
ภายในห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู iX2 xDrive30 M Sport ใหม่ นำเสนอบรรยากาศพรีเมียมทันสมัยพร้อมให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับกลิ่นอายความสปอร์ต ภายในตกแต่งด้วยวัสดุตกแต่งแบบอลูมิเนียม พร้อมแถบกราฟิก และเบาะที่นั่งสปอร์ตหุ้มหนัง M Alcantara/Veganza ผสานสีดำ ตัดกับตะเข็บสีน้ำเงิน คอนโซลด้านบนบุด้วยหนัง Sensatec
 
 
นอกจากนั้น อุปกรณ์ที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐาน ได้แก่ เบาะนั่งปรับไฟฟ้าพร้อมระบบจำตำแหน่ง แบบ M Sport สำหรับผู้ขับขี่ หลังคากระจกพาโนรามาที่ออกแบบขึ้นมาใหม่ยังให้ความรู้สึกโอ่อ่า กว้างขวางและสะดวกสบาย พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น ชุดกระจกมองข้าง และกระจกมองหลังพร้อมฟังก์ชั่นป้องกันตาพร่า (Anti-Dazzle) ยังติดตั้งมาในรถยนต์รุ่นนี้ด้วย ฟังก์ชันกล้องภายในรถยนต์ช่วยให้ผู้โดยสารสามารถถ่ายภาพภายในรถขณะที่จอดอยู่ได้ นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู iX2 xDrive30 M Sport ใหม่ ยังมาพร้อมกับระบบ Digital Key Plus ช่วยให้ผู้ใช้ iPhone สามารถล็อก/ปลดล็อกหรือสตาร์ทรถได้โดยไม่ต้องหยิบโทรศัพท์ออกมา พร้อมด้วยระบบปลดล็อกประตูอัจฉริยะ (Comfort Access System) ให้ผู้ขับขี่สามารถปลดล็อกและสตาร์ทรถได้โดยไม่ต้องใช้กุญแจ
 
 
ด้านระบบความบันเทิงและการสื่อสารให้ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยมาพร้อมจอภาพแสดงข้อมูลการขับขี่ BMW Head-up Display และจอแสดงผลไวด์สกรีนผสมกับแผงหน้าปัดขนาด 10.25 นิ้ว และจอโค้ง Central Information Display ขนาด 10.7 นิ้ว ทำงานบนระบบปฎิบัติการ BMW Operating System 9 ใหม่ล่าสุด ที่ปรับแต่งให้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ได้มากยิ่งขึ้น รถยนต์รุ่นนี้มาพร้อมกับระบบความบันเทิงทันสมัยอันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอ BMW Live Cockpit Professional ระบบ BMW ConnectedDrive ระบบเครื่องเสียง HiFi Harman Kardon และระบบแท่นชาร์จไร้สาย คุณลักษณะเด่นอีกประการของรถยนต์รุ่นนี้คือระบบการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารสามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์พกพาของตนกับรถยนต์แบบไร้สายผ่าน Apple CarPlay หรือ Android Auto โดยบีเอ็มดับเบิลยู iX2 xDrive30 M Sport ใหม่ มีให้เลือกใน 5 สีตัวถัง ได้แก่ สีเทา Brooklyn Grey, สีดำ Black Sapphire, สีขาว Alpine White, สีเขียว Cape York Green และสีแดง Fire Red
 
 
บีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport Pro
ราคา: 3,779,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)
 
บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 ขุมพลังดีเซลกลับมาอวดโฉมอีกครั้งด้วยดีไซน์ที่สดใหม่ กับบีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport Pro ใหม่ ที่เสริมความหรูหราโฉบเฉี่ยวสไตล์สปอร์ตด้วยชุดแต่ง M Sport Pro ผสมผสานกับชุดแต่ง M Aerodynamics Package, ชุดแต่งกรอบหน้าต่างสีดำเงา BMW Individual high-gloss Shadow Line และชุดแต่งระบบไฟหน้า M Lights Shadow Line ในขณะที่ช่วงหน้ารถโดดเด่นด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่แบบ ‘Iconic Glow’ ที่มาพร้อมไฟส่องสว่างอันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู เสริมรูปลักษณ์สะกดสายตาบนท้องถนนด้วยล้ออัลลอย M สีดำ Jet Black ขนาด 20 นิ้ว ลาย Star-spoke, เบรก M Sport พร้อมคาลิปเปอร์สีแดงเงา และระบบกันสะเทือน M Sport เพื่อการขับขี่ที่สนุกเร้าใจ เข้ากับรูปลักษณ์อันโฉบเฉี่ยวปราดเปรียว
 
ภายในตัวรถของบีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport Pro เพิ่มความหรูหราด้วยเข็มขัดนิรภัยสไตล์ M เฉดสี Dark Silver M ช่วยส่งเสริมความโดดเด่นให้การตกแต่งด้วยขอบ Aluminium Rhombicle พร้อมกับพื้นผิวกระจกคริสตัลแบบ Crafted Clarity บนปุ่มควบคุมสะท้อนเอกลักษณ์การตกแต่งที่หรูหรา ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ 4 โซนพร้อมเพิ่มความสบายและสร้างประสบการณ์เหนือระดับให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร นอกจากนี้ยังยกระดับความสะดวกสบายไปอีกขั้นด้วยกล้องภายในรถ, แพ็คเกจ BMW Connected Package Professional, และระบบ Travel & Comfort ให้คุณพร้อมทุกการเดินทางด้วยราวแขวนเสื้อแบบโมดูลาร์, ที่วางของขนาดกะทัดรัดและระบบช่วยเหลือการขับขี่ (Driving Assistant) ที่ล้ำสมัย
 
บีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport Pro ยังมาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบที่ผ่านการทดสอบมาอย่างเข้มข้นทั้งยังได้รับความเชื่อมั่น ทำงานผสานกับระบบเกียร์ Steptronic 8 จังหวะ มอบกำลังสูงสุด 145 กิโลวัตต์ / 197 แรงม้า 
ที่ 4,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร ที่ 1,500 - 2,750 รอบต่อนาที และยังคงเอกลักษณ์ด้วยเทคโนโลยีการลดน้ำหนักตัวถัง Intelligent Lightweight Design ตามแบบฉบับของซีรีส์ 5 แชสซีที่ได้รับการปรับแต่งมาเพื่อประสิทธิภาพการกระจายน้ำหนัก บีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport Pro จะส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ผสานกันอย่างลงตัวระหว่างความสะดวกสบายในการขับขี่ระยะไกล และความทรงพลังที่เร้าใจด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพียง 7.3 วินาที พร้อมทะยานด้วยความเร็วสูงสุดที่ 233 กิโลเมตรต่อชั่วโมง 
 
เพื่อประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือระดับ ห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport Pro ยังอัดแน่นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ไม่ว่าจะเป็นระบบจอภาพแสดงข้อมูลการขับขี่ BMW Head-up Display, หน้าจอ BMW Live Cockpit Professional พร้อมหน้าจอควบคุมขนาด 12.3 นิ้ว, ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus พร้อมกล้องมองภาพรอบทิศทาง ทั้งยังเพิ่มความสุนทรีย์ระหว่างการเดินทางด้วยระบบเครื่่องเสียง HiFi จากแบรนด์ Harman Kardon และฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย
บีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport Pro พร้อมให้เป็นเจ้าของได้แล้ววันนี้ มีให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ สีดำ Black Sapphire metallic, สีขาว Mineral White metallic, สีเทา Brooklyn Grey metallic, สีน้ำเงิน Phytonic Blue metallic, สีเขียว Cape York Green metallic พร้อมเบาะ Veganza สีดำหรือน้ำตาล Espresso Brown
 
บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport Pro
ราคา: 3,949,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)
 
บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport Pro ใหม่ ในระบบขับเคลื่อนปลั๊กอินไฮบริด มาพร้อมความโฉบเฉี่ยวด้วยชุดแต่งแบบเดียวกับบีเอ็มดับเบิลยู 520d M Sport Pro ที่ใช้ขุมพลังเครื่องยนต์ดีเซล ด้วยชุดแต่ง M Aerodynamics Package, 
ชุดแต่งระบบไฟหน้า BMW Individual High-gloss Shadow Line, ชุดแต่งระบบไฟหน้า M Lights Shadow Line และช่วงหน้ารถโดดเด่นด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่แบบ ‘Iconic Glow’ ที่มาพร้อมไฟส่องสว่างอันเป็นเอกลักษณ์ของบีเอ็มดับเบิลยู ทั้งนี้ บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport Pro ใหม่ ยังสร้างความโดดเด่นด้วยหลังคากระจก Panorama เสริมลุคด้วยการตกแต่งภายในห้องโดยสารด้วยสี Dark Silver M พร้อมวัสดุตกแต่งคาร์บอนไฟเบอร์และวัสดุสีเงิน ล้อสีเทาดำขนาด 20 นิ้ว สไตล์ M Aerodynamic และเบรกแบบ M Sport พร้อมคาลิปเปอร์สี Dark Blue Metallic
 
ห้องโดยสารที่หรูหราโอ่อ่า เพิ่มความสบายด้วยเบาะนั่งแบบ Comfort Seat หุ้มด้วยหนัง BMW Individual Merino พร้อมให้ได้สัมผัสประสบการณ์ขับขี่ที่เหนือระดับทุกการเดินทางด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่ (Driving Assistant) แบบ Professional นอกจากนี้ยังมอบสุนทรียะระหว่างการขับขี่ด้วยระบบเสียง IconicSounds Electric ให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสกับเสียงการขับขี่อันเป็นเอกลักษณ์ เพิ่มความสนุกเร้าใจให้กับการขับขี่ที่นุ่มนวลของรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมดื่มด่ำความบันเทิงเหนือระดับด้วยระบบเสียงรอบทิศทางจากแบรนด์เครื่องเสียง Bowers & Wilkins
 
 
บีเอ็มดับเบิลยู 530e จากตระกูล M Sport Pro มาพร้อมสมรรถนะอันทรงพลัง ครองใจผู้ขับขี่ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า ที่มอบพละกำลัง 220 กิโลวัตต์ / 299 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตันเมตร ที่ผสานพลังจากโหมด Sport Boost ทำให้บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport Pro พุ่งทะยานด้วยอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ได้ภายในเวลาเพียง 6.3 วินาที และเร่งความเร็วสูงสุดได้ถึง 230 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งยังสามารถวิ่งได้ระยะทางสูงสุดถึง 108 กิโลเมตร เมื่อขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า ตามมาตรฐาน NEDC 
 
มาพร้อมเทคโนโลยี eDrive เจเนอเรชั่นที่ 5 พกพาแบตเตอรี่ขนาด 22.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่รองรับการชาร์จแบบ AC 7.4 กิโลวัตต์ โดยส่งความเร็วสูงสุดเมื่อขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าล้วนที่ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง  
บีเอ็มดับเบิลยู 530e M Sport Pro พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้ววันนี้ มีเฉดสีให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีดำ Black Sapphire metallic, สีขาว Mineral White metallic, สีเทา Brooklyn Grey metallic, สีน้ำเงิน Phytonic Blue metallic, สีเขียว Cape York Green metallic พร้อมเบาะ BMW Individual Merino สีดำ/เทา Atlas หรือสีน้ำตาล Copper/เทา Atlas
 
*ภาพสำหรับการประชาสัมพันธ์เท่านั้น รุ่นที่มาพร้อมเบาะหนังสีแดง Burgundy ในเซ็ทรูปภาพยังไม่มีการวางจำหน่ายในประเทศไทย ณ ขณะนี้
 
ข้อเสนอพิเศษสำหรับบีเอ็มดับเบิลยู 220i Gran Coupe M Sport
 
บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย มอบข้อเสนอพิเศษสำหรับรถยนต์สปอร์ตคอมแพ็กต์ที่ตอบทุกโจทย์แห่งความคล่องแคล่วปราดเปรียวอย่างบีเอ็มดับเบิลยู 220i Gran Coupe M Sport ในราคาจำหน่ายสุดพิเศษ 1,999,000 บาท รวมแพ็คเกจ BSI Standard มอบการบำรุงรักษา 3 ปี หรือ 60,000 กม. (แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน) และการรับประกัน 3 ปี ไม่จำกัดระยะทาง โดยสำหรับลูกค้าที่ทำการจองและส่งมอบรถภายในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2567 และทำสัญญาทางการเงินกับบีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย รับฟรี ประกันภัยชั้น 1 BMW Protect นานสูงสุด 2 ปี พร้อมเลือกรับข้อเสนอพิเศษต่อไปนี้* (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด)
 
ผ่อนเริ่มต้น 19,999 บาท/เดือน หรือดาวน์เริ่มต้น 199,999 บา
สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู 220i Gran Coupe M Sport ใหม่ รุ่นประกอบในประเทศ แตกต่างไม่เหมือนใครด้วยเค้าโครงที่โฉบเฉี่ยวกว่าเคยด้วยดีไซน์ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากรถยนต์คูเป้รุ่นคลาสสิค เช่น กระจกประตูข้างแบบไร้กรอบทั้ง 4 ประตู ส่วนรูปลักษณ์สปอร์ตโหลดเตี้ยทรงกว้าง ในขณะที่ตัวรถด้านข้างบริเวณเสา C โดดเด่นชัดเจน พร้อมเส้นโค้งอันทรงพลังของล้อหลัง และไฟท้ายเพรียวบางที่ลาดออกในแนวนอน ควบคู่ชิ้นส่วนสีดำ High-gloss Black ไฟหน้า ไฟท้าย LED มาพร้อมตัวรถเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ในขณะที่ชุดแต่ง M Aerodynamics มาพร้อมกับบังโคลนทั้งล้อหน้าและท้าย รวมถึงแถบสเกิร์ตด้านข้างตัวรถสำหรับรุ่น M โดยเฉพาะ พร้อมกับล้ออัลลอย M น้ำหนักเบาขนาด 18 นิ้ว ในลาย Double-Spoke แบบสลับสี และหลังคาพาโนรามิคขนาดใหญ่ที่เปิดออกด้านนอกได้ไม่จำกัดระดับ พร้อมโหมดระบายอากาศไฟฟ้า อวดโฉมความปราดเปรียวอันเหนือชั้น ส่งอัตลักษณ์ความเร้าใจสไตล์สปอร์ตให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
 
บีเอ็มดับเบิลยู 220i Gran Coupe M Sport ส่งตรงขุมพลังจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร และเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ทำงานควบคู่เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ Steptronic แบบคลัทช์คู่ ด้านเครื่องยนต์ให้กำลังสูงสุด 141 กิโลวัตต์/192 แรงม้า มอบแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ที่ 1,350-4,600 รอบต่อนาที ส่งพลังให้เร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.1 วินาที และความเร็วสูงสุดที่ 238 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
 
ภายในห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู 220i Gran Coupe M Sport ยังผสมผสานความหรูหราด้วยวัสดุชั้นเยี่ยมและพื้นที่ใช้สอยที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองทั้งไลฟ์สไตล์ครอบครัวและการเดินทางระยะไกล มาพร้อมแผงหน้าปัด Instrument Cluster ขนาด 10.25 นิ้ว รวมไปถึงจอสัมผัส Control Display ขนาด 10.25 นิ้ว ครบครันด้วยระบบช่วยการขับขี่ Driving Assistant พร้อมระบบควบคุมความเร็วคงที่พร้อมฟังก์ชั่นช่วยลดความเร็ว (Cruise Control with braking function) และระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ (Parking Assistant)
 
มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ 3 ประตู คลาสสิก
ราคา: 2,599,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา MSI Standard)
มินิ คูเปอร์ เอส 3 ประตู รุ่นใหม่ล่าสุด เพื่อรำลึกถึงรถยนต์มินิ คูเปอร์ อันโด่งดังที่ปรากฏในภาพยนตร์เกี่ยวกับการโจรกรรมสุดระทึก ‘The Italian Job’ ที่เข้าฉายในปี พ.ศ. 2546 และยังเป็นการระลึกถึงความสำเร็จของภาพยนตร์ต้นฉบับสัญชาติอังกฤษในชื่อเดียวกันอีกด้วย มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ 3 ประตู คลาสสิก ใหม่ มาพร้อมการออกแบบที่โดดเด่นไม่เหมือนใครด้วยแถบสีขาวหรือสีดำบนฝากระโปรงหน้า ซึ่งเป็นองค์ประกอบการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของรถยนต์มินิสีแดง, น้ำเงิน, และสีขาวที่ขับขี่โดยซูเปอร์สตาร์ชื่อดัง มาร์ค วอห์ลเบิร์ก, ชาร์ลิซ เธอรอน, และเจสัน สเตแธม หลังคาและฝาครอบกระจกตกแต่งด้วยสีขาวหรือสีดำ สะท้อนความโดดเด่นของการออกแบบรถยนต์มินิ ที่ขี้เล่นและเปี่ยมด้วยสไตล์ ทั้งยังสะดุดตาด้วยไฟหน้าแบบ LED พร้อมไฟสำหรับขับขี่ในเวลากลางวันและไฟท้ายสไตล์ Union Jack อันเป็นเอกลักษณ์ของมินิ เสริมความโฉบเฉี่ยวด้วยล้อสีดำขนาด 17 นิ้วลาย Pedal Spoke พร้อมยางรันแฟลต
 
ห้องโดยสารของมินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ 3 ประตู คลาสสิก ใหม่ มาพร้อมเบาะนั่งสีดำ Carbon Black พวงมาลัยหุ้มหนัง Nappa พร้อมปุ่มควบคุมแบบมัลติฟังก์ชันให้อารมณ์สปอร์ต แพ็คเกจไฟตกแต่ง (Lights Package) และไฟในห้องโดยสารได้รับการติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพลิดเพลินตลอดการเดินทางด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมจอแสดงผลมัลติฟังก์ชัน
 
มินิรุ่นคลาสสิกคันนี้มาพร้อมสมรรถนะสุดเร้าใจ เช่นเดียวกับรถยนต์มินิที่หลบหนีการไล่ล่าสุดระทึกใจบนจอภาพยนตร์ ขับเคลื่อนอย่างทรงพลังพร้อมควบคุมได้ดังใจสไตล์มินิ ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า มอบแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตรในช่วง 1,350-4,600 รอบต่อนาที มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ 3 ประตู คลาสสิก นำความตื่นเต้นเร้าใจของภาพยนตร์ ‘The Italian Job’ มาให้สัมผัสในชีวิตจริง พร้อมโลดแล่นจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 6.7 วินาที นอกจากนี้ยังอัดแน่นด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่สุดล้ำและฟีเจอร์ด้านความปลอดภัยมากมาย อาทิ ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (Dynamic Stability Control), ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (Dynamic Traction Control Systems), ระบบเบรก ABS พร้อมระบบช่วยเสริมแรงเบรกอัตโนมัติ, ระบบควบคุมระยะการจอด (Park Distance Control) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Cruise Control)
 
มินิ คูเปอร์ เอส แฮทช์ 3 ประตู คลาสสิก พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้ววันนี้ พร้อมเฉดสีให้เลือก 8 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน Island Blue, สีแดง Chili Red, สีขาว Nanuq White, สีเขียว British Racing Green, สีเทา Rooftop Grey, สีเหลือง Zesty Yellow, สีเงิน Melting Silver, และสีดำ Midnight Black
 
 
มินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน Multitone 
ราคา: 2,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา MSI Standard)
 
มินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน กลับมาสร้างกระแสอีกครั้งด้วยความโดดเด่นในดีไซน์หลังคา Multitone Roof โดยนอกจากหลังคา Multitone สีแดงที่ได้สร้างเอกลักษณ์ไปในปีที่ผ่านมา และในครั้งนี้ก็เพิ่มตัวเลือกใหม่กับหลังคา Multitone สีน้ำเงิน Soul Blue ที่สะกดทุกสายตา สะท้อนตัวตนที่แตกต่างและเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา หลังคาสีแดงหรือฟ้าไล่เฉดเปรียบเสมือนผลงานศิลปะชิ้นเอกที่รังสรรค์ด้วยเทคนิคการพ่นสีแบบ Wet-on-Wet ซึ่งเป็นนวัตกรรมล้ำสมัยจากสายการผลิตมินิ ณ เมืองอ็อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ผสานกับกระบวนการเคลือบสีแบบ Spray Tech ทำให้เกิดการไล่เรียงเฉดสีที่กลมกลืนและโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ทั้งนี้ การไล่เฉดสีของแต่ละคันจะมีความแตกต่างกันไป เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงระหว่างกระบวนการพ่นสี หลังคามัลติโทนแต่ละชิ้นจึงเปรียบเสมือนงานศิลปะที่งดงาม เปี่ยมด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งยังดึงดูดสายตายิ่งกว่าเมื่อตัดกับตัวถังสีขาว Nanuq White
 
 
มินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน Multitone ใหม่ มาพร้อมดีไซน์ที่แตกต่างจากมินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน Multitone Red รุ่นก่อนหน้า โดดเด่นสะดุดตาด้วยล้ออัลลอยทูโทนขนาด 18 นิ้ว ลาย Multiray Spoke และยางรันแฟลต ภายในห้องโดยสารยังคงความสปอร์ตตามแบบฉบับมินิ ด้วยเบาะนั่งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้าปรับไฟฟ้าสไตล์สปอร์ตสีดำ Carbon Black สอดรับกับการตกแต่งพื้นผิวด้วยสีดำ Piano Black เพิ่มความหรูหราให้ห้องโดยสารขึ้นไปอีกขั้นด้วยพวงมาลัยหุ้มหนังแบบ Nappa ชุดไฟสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสาร และหน้าจอระบบสัมผัสแบบดิจิทัลขนาด 8.8 นิ้ว พร้อมจอแสดงผลแบบมัลติฟังก์ชัน และฟีเจอร์อื่น ๆ อีกมากมาย
 
มินิ คูเปอร์ เอส คลับแมน Multitone มาพร้อมขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo ทำงานผสานกับเกียร์ Steptronic 7 จังหวะ ให้กำลังสูงสุดที่ 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รอบต่อนาที มอบความสนุกเร้าใจตลอดการขับขี่ด้วยแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตรที่ 1,350-4,600 รอบต่อนาที พุ่งทะยานจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 7.2 วินาที ทำความเร็วได้สูงสุดที่ 228 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้ ยังอัดแน่นด้วยระบบช่วยเหลือการขับขี่เพื่อความสะดวกสบายขั้นสุด เช่น ระบบควบคุมความเร็วคงที่พร้อมฟังก์ชันช่วยลดความเร็ว (Cruise Control with Braking Function), ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ (Dynamic Stability Control), ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน (Dynamic Traction Control Systems), ระบบ Electronic Differential Lock Control (EDLC) รวมทั้งระบบเบรก ABS พร้อมระบบช่วยเสริมแรงเบรกโดยอัตโนมัติอีกด้วย
 
 
มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน Highlands Edition 
ราคา: 2,299,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมแพ็คเกจบำรุงรักษา MSI Standard)
 
มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน Highlands Edition พร้อมดีไซน์ใหม่ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากความงดงามตามธรรมชาติของเขตเทือกเขาในประเทศสกอตแลนด์ นำมาซึ่งการออกแบบสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณการผจญภัยของมินิ คันทรีแมน ให้โดดเด่นไม่เหมือนใคร ในขณะเดียวกันก็ให้สาวกมินิเป็นเจ้าของรถยนต์รุ่นพิเศษคันนี้ได้ง่ายขึ้นด้วยทางเลือกราคาที่จับต้องได้มากกว่าเมื่อเทียบกับรุ่นคันทรีแมนอื่น ๆ แต่ยังคงอัดแน่นด้วยออปชั่นที่ครบครันตามมาตรฐาน
 
มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน Highlands Edition มาพร้อมชุดแต่ง MINI ALL4 รวมถึงสัญลักษณ์ไฮแลนด์ที่โดดเด่นสะดุดตา เพิ่มความพิเศษให้กับการออกแบบที่หรูหราเหนือระดับ มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน Highlands Edition ได้รับการออกแบบให้มอบความสะดวกสบายในทุกการเดินทาง พร้อมผจญภัยทุกหนแห่งด้วยฟีเจอร์อเนกประสงค์สุดล้ำ อาทิ ราวหลังคา, ประตูท้ายแบบอัตโนมัติ, และพื้นที่เก็บสัมภาระสูงสุด 1,390 ลิตร ตัวถังภายนอกอวดรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวด้วยการตกแต่งด้วยสีดำ Piano Black โดยดีไซน์ให้เข้ากันอย่างกลมกลืนกับหลังคาและที่ครอบกระจก, ล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้วลาย Pin Spoke พร้อมยางรันแฟลต, ไฟหน้าแบบ LED, และไฟท้ายลาย Union Jack อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมินิ
 
 
ภายในห้องโดยสารประกอบด้วยเบาะนั่งคู่หน้าแบบสปอร์ตที่โอบกระชับ พร้อมฟีเจอร์ล้ำสมัยที่มอบความสะดวกสบาย แต่ยังคงความสนุกมีสไตล์ตามแบบฉบับของ มินิ คันทรีแมน ตั้งแต่เบาะหนังปรับไฟฟ้าสี Carbon Black, ระบบไฟส่องสว่างในห้องโดยสารแบบปรับได้ (Ambient Lighting System), ที่วางแขนสำหรับเบาะหน้า ไปจนถึงหน้าจอกลางระบบสัมผัสแบบดิจิทัลขนาด 8.8 นิ้ว และแผงหน้าปัดแบบมัลติฟังก์ชัน
 
 
มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน Highlands Edition มอบสมรรถนะการขับขี่สุดเร้าใจด้วยขุมพลังเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี MINI TwinPower Turbo ซึ่งเป็นที่นิยม มอบพละกำลังสูงสุด 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า ที่ 5,000-6,000 รอบต่อนาที ส่งแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตรที่ 1,350-4,600 รอบต่อนาที เมื่อผสานการทำงานกับเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ Steptronic แบบคลัทช์คู่ สามารถทำความเร็วได้สูงสุด 224 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และเร่งความเร็วถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ภายในเวลาเพียง 7.4 วินาที
 
มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน Highlands Edition พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้ววันนี้ พร้อมเฉดสีให้เลือก 4 สี ได้แก่ สีเขียว Sage Green, สีขาว Nanuq White, สีเงิน Melting Silver, และสีเทา Rooftop Grey
 

มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู ได้แก่

บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ใหม่ สี Triple Black
ราคาจำหน่าย: 1,125,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ใหม่ สี GS Trophy
ราคาจำหน่าย: 1,125,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ใหม่ สี Option 719
ราคาจำหน่าย: 1,205,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
 
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ใหม่ มาพร้อมสมรรถนะที่เหนือไปอีกขั้นในกลุ่มมอเตอร์ไซค์ทัวริ่ง เอนดูโร จากตระกูล GS กับการปรับโฉมใหม่เกือบทั้งหมด ด้วยการลดทอนน้ำหนักลงถึง 12 กิโลกรัม พร้อมขุมพลังเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบวางเรียงระดับตำนานของตระกูล GS ที่ออกแบบมาให้มีขนาดกะทัดรัดยิ่งกว่าที่เคย พร้อมความจุ 1,300 ซีซี ส่งพละกำลังสูงสุด 107 กิโลวัตต์ (145 แรงม้า) ที่ 7,750 รอบต่อนาที มอบแรงบิดสูงสุด 149 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ
ต่อนาที นับว่าเป็นเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่บีเอ็มดับเบิลยูเคยมีมา
 
ระบบกันสะเทือนใหม่มีแกนหลักขึ้นรูปจากแผ่นเหล็กกล้า ซึ่งนอกจากจะได้รับการปรับปรุงประสิทธิภาพในแง่ของตำแหน่งการติดตั้ง ยังมอบความหน่วงที่มากขึ้นกว่ารุ่นก่อนหน้า ชุดเฟรมด้านหลังผลิตจากอะลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป แทนชุดเฟรมเหล็กกล้าสองชั้นแบบเดิม บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS มาพร้อมระบบกันสะเทือน EVO Telelever ใหม่ที่ล้อหน้า ส่วนระบบกันสะเทือนล้อหลังมาพร้อมระบบ EVO Paralever ที่ได้รับการปรับแต่งใหม่ มอบจังหวะการบังคับเลี้ยวที่
เฉียบคมและเสถียรภาพในการทรงตัวที่เหนือชั้นยิ่งขึ้น
 
 
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ยังมาพร้อมระบบปรับช่วงล่างแบบไดนามิก (DSA) ใหม่ ซึ่งปรับความหนืดของระบบกันสะเทือนด้านหน้าและด้านหลังให้เข้ากับอัตราการยุบตัวของสปริง โดยทำงานสอดรับกับโหมดการขับขี่ที่เลือก สภาพถนนและลักษณะการขับขี่ ระบบควบคุมความสูงแบบอัตโนมัติ (Adaptive Vehicle Height Control System) ช่วยปรับความสูงของมอเตอร์ไซค์อย่างอัตโนมัติตามสภาพการใช้งานในเวลานั้น ๆ การันตีความสะดวกสบายสูงสุดให้การขับขี่เต็มไปด้วยสีสัน
 
โหมดการขับขี่ "Rain" และ "Road" ปรับแต่งเพื่อรองรับการขับขี่บนสภาพท้องถนนหลากหลายรูปแบบ ในขณะที่โหมด "Eco" จะมอบการขับขี่ที่ใช้พลังงานอย่างคุ้มค่าและประหยัดน้ำมันเพื่อระยะการเดินทางสูงสุด
 
มาพร้อมไฟหน้าแบบ Full-LED ขนาดกะทัดรัด พร้อมไฟรูปแบบใหม่ที่ดูแตกต่าง ออกแบบให้ดูทันสมัยโดดเด่นตามมาตรฐาน ด้วยไฟ LED สองดวงสำหรับไฟต่ำและสูง นอกจากนี้ ยังมีไฟ LED เพิ่มเติมอีกสี่ดวงสำหรับใช้เป็นไฟส่องสว่างเวลากลางวันและไฟส่องสว่างด้านข้าง ช่วยมอบทัศนวิสัยที่เหนือชั้นกว่าที่เคยในทุกการขับขี่ ฟีเจอร์ Headlight Pro ยังช่วยปรับลำแสงจากไฟหน้า LED ตามการเข้าโค้ง เพื่อการขับขี่อย่างมั่นใจ ไฟเลี้ยวแบบ LED ที่ได้รับการออกแบบใหม่ ติดตั้งที่บริเวณแฮนด์การ์ดพร้อมฟังก์ชันครบครัน มอบความสมบูรณ์แบบให้กับระบบไฟส่องสว่างของบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ใหม่
 
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูงแบบใหม่ ประกอบด้วยระบบควบคุมความเร็วคงที่ Active Cruise Control (ACC), ระบบเตือนการชนด้านหน้า Front Collision Warning (FCW) และ ระบบเปลี่ยนเลนอัตโนมัติ Lane Change Warning (SWW) โดยระบบควบคุมความเร็วคงที่มาพร้อมระบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ ทำให้ตั้งค่าความเร็วรวมถึงระยะห่างจากรถคันหน้าได้ตามความต้องการ ระบบเตือนการชนด้านหน้ามาพร้อมระบบเบรก ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันการชนและช่วยลดความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ในขณะที่ระบบเปลี่ยนเลนอัตโนมัติช่วยตรวจสอบสิ่งกีดขวางบริเวณเลนซ้ายและขวา เมื่อใช้ร่วมกับกระจกมองหลังจะยิ่งช่วยเพิ่มความปลอดภัยในขณะเปลี่ยนเลน
 
บีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS ใหม่ ได้ปรับโฉมรถมอเตอร์ไซค์ในตระกูล GS แบบดั้งเดิม สู่สไตล์การออกแบบที่ปราดเปรียวยิ่งกว่า ซึ่งเป็นผลมาจากการออกแบบถังเชื้อเพลิงอลูมิเนียมใหม่ให้แบนราบลง มอบรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว โดยบีเอ็มดับเบิลยู R 1300 GS พร้อมให้เหล่านักบิดจับจองเป็นเจ้าของได้ใน 3 เฉดสีสุดโดดเด่น ได้แก่ สีดำ Black Storm Metallic สุดเท่, สีน้ำเงิน Racing Blue Metallic ที่ได้แรงบันดาลใจจากสนามแข่ง, และสีเขียว-ทองสุดหรูหราในเฉด Option 719 Aurelius Green Metallic
 
 
บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 ใหม่
ราคาจำหน่าย: 479,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
 
บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 ใหม่ เป็นยนตรกรรมไฟฟ้าจากบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการใช้ชีวิตในเมือง มาในคอนเซ็ปท์ “eParkourer” (Pakour หรือ ปากัวร์ เป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่เน้นการปีนป่ายข้ามอุปสรรคด้วยความรวดเร็ว) มอบความคล่องตัว ทรงพลังและความเร้าใจในการขับขี่แต่ละวัน พร้อมสัมผัสประสบการณ์สดใหม่ในการขับขี่ยนตรกรรมบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด
 
 
บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 ใหม่ ออกแบบเพื่อตอบโจทย์การขับขี่ในเมือง เป็นยนตรกรรมไฟฟ้าที่แตกต่างจากมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าหรือสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า มอบความคล่องตัว ความสะดวกสบาย ความทนทาน และความสนุกเร้าใจทุกการขับขี่ 
การออกแบบสะท้อนความเป็นอิสระและความสนุกสนาน สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนจากเบาะนั่งที่มีรูปทรงคล้ายสเก็ตบอร์ด ตัวถังใช้สีดำเป็นหลัก ทั้งโครงรถ ล้อ บังโคลนหน้าและแผงคอ ตกแต่งด้วยสีเทา Granite Grey Metallic Matt บริเวณฝาครอบเครื่องยนต์ มอบความโดดเด่นสวยงามจากความแตกต่างระหว่างพื้นผิวด้านและมันวาวบนตัวถัง
 
 
บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังมอเตอร์ไฟฟ้าแบบซิงโครนัสและแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 48 โวลต์ ความจุ 1.96 กิโลวัตต์-ชั่วโมง 2 ก้อน โดยแบตเตอรี่สามารถถอดได้ระหว่างการบำรุงรักษา สร้างกำลังได้สูงสุด 11 กิโลวัตต์ (15 แรงม้า) ส่งแรงบิดสูงสุด 55 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0 ถึง 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้เวลาเพียง 3 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 95 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และวิ่งได้ไกลถึง 95 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง โดยแบตเตอรี่สามารถชาร์จจาก 0% ถึง 100% ในเวลา 210 นาที และชาร์จจาก 20% ถึง 80% ในเวลา 102 นาที ด้วยสายชาร์จแบบเร็วที่ให้มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยให้กำลังไฟสูงถึง 1,500 วัตต์ บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 ใหม่ยังมาพร้อมกับ 2 รูปแบบการขับขี่คือโหมด "Flow" และ "Surf" โดยโหมด "Flow" เหมาะสำหรับการขับขี่ฝ่าการจราจรหนาแน่นในเมือง ในขณะที่โหมด "Surf" มอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุกสนานเร้าใจเมื่อพ้นช่วงการจราจรที่พลุกพล่าน
 
บีเอ็มดับเบิลยู CE 02 ใหม่ มาพร้อมชุดเฟรมเหล็กกล้าสองชั้นที่ทนทานต่อการบิดงอ ช่วงล่างแบบ telescopic ติดตั้งบริเวณล้อหน้า ล้อหลังติดตั้งระบบสวิงอาร์มเดี่ยวและช่วงล่างแบบ pivoted ยางหน้ากว้างหุ้มล้ออัลลอยน้ำหนักเบาแบบดิสก์วีล พร้อมดิสก์เบรกทั้งล้อหน้าและล้อหลังเพื่อเพิ่มความมั่นใจขณะชะลอความเร็ว ระบบเบรก ABS ของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดติดตั้งที่ล้อหน้ายังช่วยเพิ่มความปลอดภัยเหนือระดับแผงหน้าปัดควบคุมของบีเอ็มดับเบิลยู CE 02 มาพร้อมจอภาพสี TFT ให้ภาพที่คมชัด โดยแสดงข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการขับขี่ อาทิ ความเร็วในการขับขี่และสถานะการชาร์จแบตเตอรี่ ช่องชาร์จ USB-C ทำให้ชาร์จสมาร์ทโฟนได้สะดวกรวดเร็ว นอกจากนี้ แอปพลิเคชัน BMW Motorrad Connected ยังแสดงระยะเวลาที่คาดว่าการชาร์จจะสิ้นสุดบนสมาร์ทโฟนผ่านการเชื่อมต่อผ่านระบบบลูทูธอีกด้วย
 
 
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ (สี Light white/M Motorsport)
ราคาจำหน่าย: 1,005,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 
 
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ ส่งมอบสมรรถนะในแบบซูเปอร์ไบค์มาท้าทายขีดจำกัดนักบิดอีกครั้งกับสี Light White/M Motorsport ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากมอเตอร์สปอร์ตอันเป็นเอกลักษณ์มอเตอร์ไซค์รุ่นดังกล่าวผสานจิตวิญญาณ #NeverStopChallenging เหมาะสำหรับการขี่ทุกรูปแบบทั้งบนท้องถนน ในสนามแข่ง หรือทั้งสองสไตล์ร่วมกัน มาพร้อมคุณสมบัติเหนือชั้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังยิ่งขึ้น แชสซีและระบบช่วงล่างที่เหนือชั้นกว่าที่เคย ระบบเบรก Slide Control ระบบควบคุม Dynamic Traction Control ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นควบคุมการลื่นไถล (Slide Control) และอีกหลากหลายระบบช่วยเหลือสุดล้ำสมัย คุณสมบัติดังกล่าวยังช่วยสร้างไดนามิกการขับขี่ที่เหนือชั้นให้กับบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR พร้อมมอบสมรรถนะขั้นสูงสุดและประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใครให้แก่เหล่านักบิด 
 
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำและน้ำมัน 4 วาล์วไทเทเนียมต่อลูกสูบ DOHC และ BMW ShiftCam ความจุ 999 ซีซี ส่งพละกำลัง 154 กิโลวัตต์ (210 แรงม้า) ที่ 13,750 รอบต่อนาที ให้ความเร็วสูงสุดที่ 303 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นอกจากนี้ แรงบิดสูงสุด 113 นิวตันเมตร ที่ 11,000 รอบต่อนาที ยังช่วยเสริมประสิทธิภาพในการขับขี่และการเร่งขณะขับขี่ที่ความเร็วต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น
 
 
หัวใจสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ คือ โครงสร้างตัวถังแบบ "Flex Frame" อันก้าวล้ำ ซึ่งเป็นแชสซีและระบบกันสะเทือนแบบใหม่ที่ได้รับการพัฒนาในด้านความแม่นยำในการขับขี่ การควบคุมที่เฉียบคม และการตอบสนองจากล้อหน้าที่ฉับไวยิ่งขึ้น บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ ยังสามารถรองรับสไตล์การขับขี่ที่หลากหลาย ทั้ง 4 รูปแบบการขับขี่พื้นฐาน ได้แก่ โหมดการขับขี่ “Rain”, “Road”, “Dynamic” และ “Race” อีกทั้งยังมาพร้อมโหมดการขับขี่แบบ “Pro” ให้ผู้ขับขี่สามารถปรับเปลี่ยนการควบคุมต่าง ๆ ให้ตรงกับรูปแบบการขับขี่เฉพาะตัว ทำงานร่วมกับระบบ Dynamic Traction Control (DTC) ที่มาพร้อมฟังก์ชั่น Slide Control สามารถให้ผู้ขับขี่เลือกการตั้งค่าการดริฟท์ได้สองระดับขณะเร่งออกจากโค้ง ในทำนองเดียวกัน ระบบ ABS ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันระบบควบคุมการเลื่อนเบรก Slide Control ซึ่งช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถตั้งค่ามุมดริฟท์เฉพาะสำหรับสไตล์การขับที่เรียกว่าการดริฟต์เบรก ขณะที่ไถลเข้าโค้งด้วยความเร็วคงที่
 
 
ด้านดีไซน์ บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ ยังมาพร้อมรูปโฉมด้านหน้าใหม่ ฝาครอบเบาะนั่งซ้อนท้ายที่หรูหรา และส่วนท้ายแบบใหม่ เบากว่าและดูสปอร์ตยิ่งขึ้น สี Black Storm Metallic ยังช่วยให้มอเตอร์ไซค์มีรูปลักษณ์ที่หรูหราอย่างยิ่ง โดยเน้นถึงธรรมชาติของตัวรถที่มีสมรรถนะสูงจากในสนามแข่ง ในขณะที่รุ่นสี Light White/M Motorsport ใหม่ ก็มาพร้อมกับแถบสีน้ำเงิน สีม่วง และสีแดงอันเป็นเอกลักษณ์ของของโลโก้บีเอ็มดับเบิลยู M พร้อมตกแต่งด้วยแถบสีขาวดำตัดกับส่วนที่เหลือของมอเตอร์ไซค์
 
บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 GT ใหม่
ราคาจำหน่าย เริ่มต้น 1,695,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 GTL ใหม่
ราคาจำหน่าย เริ่มต้น 1,775,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B ใหม่
ราคาจำหน่าย เริ่มต้น 1,695,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 Grand America ใหม่
ราคาจำหน่าย เริ่มต้น 1,775,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
 
 
ตระกูล K 1600 ใหม่ จากบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด พร้อมเร่งเครื่องสู่ท้องถนนและพาเหล่านักบิดสัมผัสประสบการณ์ทัวริ่งสุดหรูในทุกช่วงเวลาของการขับขี่ โดยแต่ละรุ่นมอบประสบการณ์การขับขี่ทางไกลที่มาพร้อมความสบายเหนือระดับ บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 GT มอบประสบการณ์การขับขี่ที่คล่องตัวและทรงพลังด้วยเครื่องยนต์แบบ 6 สูบ บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 GTL ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์เพื่อมอบความสบายในการขับขี่ มาพร้อมกล่องสัมภาระท้ายรถ (top case) แบบมาตรฐานเพื่อประสบการณ์การขับขี่สุดประทับใจ ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B ออกแบบให้มีความปราดเปรียวด้วยด้านท้ายที่ลาดต่ำในสไตล์แบกเกอร์ และบีเอ็มดับเบิลยู K 1600 Grand America ต่อยอดการออกแบบจากรุ่น K 1600 B พร้อมอุปกรณ์เสริมที่ทำให้ทุกการขับขี่ทางไกลเปี่ยมด้วยความสะดวกสบายและสนุกเร้าใจ
 
K 1600 ใหม่ ขับเคลื่อนด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ส่งพละกำลังสูงสุด 118 กิโลวัตต์ (160 แรงม้า) ที่ 6,750 รอบต่อนาที ส่งแรงบิดสูงสุด 180 นิวตันเมตร ที่ 5,250 รอบต่อนาที โดยทุกรุ่นมาพร้อมระบบป้องกันการลื่นไถลของล้อหลัง (MSR) เพื่อป้องกันการลื่นไถลที่เกิดจากล้อหลังหมุนฟรีขณะเข้าเกียร์ว่างหรือเปลี่ยนเกียร์เพื่อลดความเร็วมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยูในตระกูล K 1600 ใหม่ ทุกรุ่น มาพร้อมระบบควบคุมช่วงล่างแบบไฟฟ้า (Dynamic ESA) เจเนอเรชันใหม่ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัย มอบสมรรถนะเร้าใจและความสะดวกสบายในทุกสถานการณ์ โดยทำงานอัตโนมัติตามรูปแบบการขับขี่, ลักษณะการควบคุมหรือแม้แต่ตำแหน่งการขับขี่ โดยในสถานการณ์ปกติ ระบบปรับช่วงล่างด้วยระบบไฟฟ้า (Dynamic ESA) จะเริ่มทำงานในโหมดการขับขี่ "Road" แต่ผู้ขับขี่สามารถเลือกปรับโช้คอัพให้มีความหน่วงมากขึ้นและควบคุมรถได้เฉียบคมขึ้นโดยกดปุ่มเปลี่ยนไปยังโหมด "Dynamic" ส่วนรุ่น K 1600 GT และ GTL ยังมีโหมดการขับขี่ "Rain" เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมได้อย่างมั่นใจในสภาวะการขับขี่ที่ท้าทาย โดยรุ่นย่อย K 1600 B และ K 1600 Grand America มาพร้อมโหมด "Cruise" มอบการขับขี่ที่นุ่มนวลและช่วยลดความเมื่อยล้าระหว่างขับขี่ทางไกล
 
 
K 1600 ใหม่ ยังติดตั้งมากับไฟหน้า LED เต็มรูปแบบ พร้อมเทคโนโลยีเลนส์ LED และไฟส่องสว่างในเวลากลางวันซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อมอบความสว่างและทัศนวิสัยที่ชัดเจนบนถนน ฟังก์ชันไฟหน้าแบบปรับได้อัตโนมัติช่วยปรับลำแสง LED ของไฟให้ต่ำและสาดไปด้านข้างขณะเข้าโค้ง เพื่อทัศนวิสัยที่ดีที่สุด นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับฟังก์ชันไฟที่ครบครัน เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ สะดวกสบาย และสามารถใช้งานได้จริง เช่น ทันทีที่สตาร์ทเครื่อง ฟังก์ชัน “welcome light” จะถูกเปิดใช้งานเพื่อให้ไฟหน้าและไฟท้ายสว่างขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ ในขณะที่ฟังก์ชัน “goodbye” จะทำให้ไฟทำงานไปซักระยะหนึ่งหลังจากที่ดับเครื่องยนต์ลง แล้วจึงค่อย ๆ ดับสนิท ในขณะเดียวกัน ฟังก์ชัน “follow me home” ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปิดไฟหน้าได้ชั่วครู่หลังดับเครื่องยนต์ เพื่อการควบคุมรถอย่างปลอดภัยภายในลานจอดช่วงเวลากลางคืน
 
 
บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 GT, K 1600 GTL, K 1600 B และ K 1600 Grand America ใหม่ มาพร้อมจอภาพสี TFT ขนาด 10.25 นิ้ว ใหม่ พร้อมระบบนำทางและฟีเจอร์การเชื่อมต่อเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบเสียง 2.0 ใหม่ และเครื่องรับสัญญาณวิทยุดิจิทัล DAB+ (Digital Audio Broadcasting Plus) มอบความเพลิดเพลินตลอดเส้นทางการขับขี่ด้วยระบบเสียงที่ดังฟังชัดรวมถึงการรับสัญญาณเสียงที่มีความเสถียรสูงสุด
 
บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 B และ K 1600 Grand America พร้อมให้เป็นเจ้าของในสีดำ Black Storm Metallic, สีเทาด้าน Manhattan Metallic Matt และสีพิเศษ Option 719 Ionic Silver Metallic ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู K 1600 GT มาในสีดำ Black Storm Metallic, สีขาว Light White / สีน้ำเงิน Racing Blue Metallic / สีแดง Racing Red และสี Option 719 Meteoric Dust 2 Metallic ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู K 1600 GTL มาในสีดำ Black Storm Metallic, สีฟ้า Gravity Blue Metallic และสี Option 719 Meteoric Dust 2 Metallic
 

แท็กที่เกี่ยวข้อง

bmw bmw 520d m sport BMW ix2

ข่าวและอีเว้นท์รถยนต์ล่าสุด




เว็บไซต์นี้มีการเก็บคุกกี้เพื่อเพิ่มความพึงพอใจในการใช้งานเว็บไซต์ และช่วยให้เราปรับปรุง และนำเสนอเนื้อหาตรงตามความสนใจของท่าน ท่านสามารถดู Privacy Notice และ ดู Cookies Policy ของเราได้ ที่นี่ ทั้งนี้ ท่านจะยินยอมให้เราเก็บคุกกี้ทั้งหมด หรือให้เก็บแค่บางส่วนโดยการคลิกเลือก ตั้งค่า

ท่านสามารถเลือกให้ความยินยอมการเก็บคุกกี้เป็นเรื่องๆ ได้ที่นี่

เมื่อคุณเข้าชมเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่น checkraka เราอาจจัดเก็บ หรือดึงข้อมูลจากเบราว์เซอร์ของคุณในรูปแบบของคุกกี้ และเทคโนโลยีอื่นที่คล้ายคลึง เช่น tag และ pixel (เรียกรวมกันว่า “คุกกี้”) ซึ่งมักเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้โดยตรง แต่ช่วยให้คุณใช้งานเว็บไซต์ได้ปลอดภัย และตรงตามความต้องการมากขึ้น คุณอาจไม่ยินยอมให้เราเก็บคุกกี้บางประเภทได้ โดยการคลิกตามหัวข้อข้างล่างนี้

ประเภทคุกกี้
อ่านเพิ่มเติม ที่นี่
ยินยอม / ไม่ยินยอม
คุกกี้ที่จำเป็นต้องมีเสมอ
(Strictly Necessary)
คุกกี้สำหรับการใช้งานเว็บไซต์
(Functionality)
คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและวิเคราะห์
(Performance & Analytics)
คุกกี้เพื่อการตลาด
(Marketing)