Lexus NX 450h+ F SPORT AWD มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ผสานการทำงานกับแบตเตอรี่ลิเธียมอิออนประสิทธิภาพสูง และระบบขับเคลื่อนสีล้อ (AWD) ทำให้ได้พละกำลังที่สูงถึง 304 แรงม้า และสามารถเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้าได้ไกลถึง 87 กิโลเมตร ด้วยการชาร์จไฟ จาก 0-100% ภายในเวลาเพียงแค่ 2 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น Lexus NX 450h+ คันนี้จึงเรียกได้ว่าเป็น SMARTER EV ตัวจริง ซึ่งแทบจะไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมันในการเดินทางในเมือง แต่หากต้องเดินทางระยะไกล ก็สามารถเดินทางแบบไร้กังวล เนื่องจากมีระบบเครื่องยนต์ไฮบริด ไม่ต้องกังวลเรื่องการชาร์จไฟ หรือหาสถานีชาร์จระหว่างทาง ด้านเทคโนโลยีความปลอดภัย Lexus NX มาพร้อมกับ Lexus Safety System Plus ที่จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีระบบกลอนประตูอิเล็กทรอนิกส์ E-LATCH โดยระบบจะช่วยให้ประตูรถทำงานได้อย่างนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น ระบบการเปิด-ปิดประตูแบบ Safe Exit Assist เพิ่มความปลอดภัยขณะลงจากรถ ช่วยให้ไม่ต้องออกแรงดึงหรือผลักเพื่อเปิดประตู ทำให้ Lexus NX เป็น SUV ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้เป็นอย่างดี
Range Rover Evoque 1.5 Litre Plug-in Hybrid Petrol SE รุ่นปี 2019 โดดเด่นยิ่งกว่าด้วยการออกแบบภายในห้องโดยสารใหม่ด้วยวัสดุชั้นเยี่ยมเพื่อ มอบความหรูหราและสะดวกสบายที่เป็นเลิศ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากรุ่น เรนจ์โรเวอร์ สปอร์ต ทางแลนด์โรเวอร์ ขอมอบรุ่น SE Plus และ HSE Dynamic ส่งสู่ตลาดรถหรูเมืองไทย สะกดทุกสายตาด้วยภาพลักษณ์ที่ภูมิฐานจากแผงกันชนดีไซน์ใหม่ พร้อมตะแกรงหน้าอันโฉบเฉี่ยวสองรูปแบบ ระบบไฟซีนอน (Xenon) ด้วยหลอด LED ที่มอบวิสัยทัศน์ที่สว่างชัดในการขับขี่ทุกสภาวะ พร้อมรูปลักษณ์ที่สวยโฉบเฉี่ยวทุกมุมมอง ส่วนกระจกมองข้างดีไซน์เพรียวยังติดตั้งด้วยอินดิเคเตอร์ไว้อย่างแนบเนียนใน สไตล์ "Hidden-Til-Lit"
Range Rover Evoque 1.5 Litre Plug-in Hybrid Petrol SE มาพร้อมชุดแต่ง R-Dynamic Pack เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร 3 สูบ กำลังสูงสุด 300 แรงม้า พร้อมระบบไฟฟ้าไฮบริดแบบปลั๊กอิน (PHEV) ลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิง เงียบ และยังช่วยประหยัดพลังงาน มาพร้อมคุณสมบัติขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมกับ Active Driveline รุ่นที่สองที่มี Driveline Disconnect เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและ Adaptive Dynamics เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายและความคล่องตัวไปพร้อมกัน Terrain Response 2 เทคโนโลยีตรวจจับพื้นผิวการขับขี่โดยอัตโนมัติและปรับการตั้งค่าไปตามสภาพพื้นผิวที่ตรวจจับได้ สามารถลุยน้ำได้ลึกถึง 600 มม. (จากรุ่นก่อนหน้านี้ 500 มม.)