
บิ๊กไบค์สายลุย สายแอดเวนเจอร์ ในไทยนับว่าได้รับความนิยมต่อเนื่อง เพราะสภาพพื้นที่เหมาะกับการขี่ท่องเที่ยวเดินทางและลุยออฟโร้ด นอกจากนี้สายทริปยาวก็ยังเดินทางออกผ่านประเทศเพื่อนบ้านได้ไม่ยากสามารถขี่ไปถึงประเทศจีนกันได้เลย นั่นทำให้บิ๊กไบค์แนวแอดเวนเจอร์มีรุ่นใหม่ทำตลาดอย่างไม่ขาดช่วง และนี่คือ 5 อันดับรุ่นใหม่ที่น่าเป็นเจ้าของ
สำหรับ 5 บิ๊กไบค์สายลุยประจำเดือนนี้ จะใช้เกณฑ์จากข้อมูลบิ๊กไบค์รุ่นใหม่ในเว็บไซต์ Checkraka.com และประสบการณ์ของ กูรูบอม ที่เคยขับขี่บิ๊กไบค์หลากหลายรุ่น มาช่วยในการจัดอันดับครั้งนี้ด้วย

1. BMW R1300 GS
"ที่สุดของสายแอดเวนเจอร์ เต็มสิบไม่มีหัก เป็นตัวจบที่แท้จริง"
BMW R1300 GS มอเตอร์ไซค์ทัวริ่ง เอนดูโร ที่มีการเปลี่ยนโฉมรถในตระกูล GS แบบดั้งเดิม ให้มีปราดเปรียวยิ่งกว่า เริ่มจากการออกแบบถังเชื้อเพลิงอลูมิเนียมใหม่ให้แบนราบลง มอบรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว ปราดเปรียว ไฟหน้าแบบ Full-LED ขนาดกะทัดรัด พร้อมไฟรูปแบบใหม่ที่ดูแตกต่าง แบ่งเป็นไฟ LED สองดวงสำหรับไฟต่ำและสูง นอกจากนี้ ยังมีไฟ LED เพิ่มเติมอีกสี่ดวงสำหรับใช้เป็น DRL และไฟส่องสว่างด้านข้าง ช่วยมอบทัศนวิสัยที่ดี พร้อมฟีเจอร์ Headlight Pro ยังช่วยปรับลำแสงจากไฟหน้า LED ตามการเข้าโค้ง เพื่อการขับขี่อย่างมั่นใจ ไฟเลี้ยวแบบ LED ที่ได้รับการออกแบบใหม่ ติดตั้งที่บริเวณแฮนด์การ์ดพร้อมฟังก์ชันครบครัน
R 1300 GS มีสมรรถนะที่ดีขึ้นจากรุ่นเดิม ด้วยการลดน้ำหนักลงถึง 12 กก. พร้อมเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบเรียงระดับตำนานของตระกูล GS ที่ออกแบบมาให้มีขนาดกะทัดรัดมากขึ้น พร้อมความจุ 1,300 ซีซี ให้พละกำลังสูงสุด 145 แรงม้า ที่ 7,750 รอบ/นาที มอบแรงบิดสูงสุด 149 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที นับเป็นเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่บีเอ็มดับเบิลยูเคยมีมา
สำหรับระบบกันสะเทือนเป็นแบบ EVO Telelever ใหม่ที่ล้อหน้า ส่วนระบบกันสะเทือนล้อหลังมาพร้อมระบบ EVO Paralever ที่ได้รับการปรับแต่งใหม่ ให้การบังคับเลี้ยวที่เฉียบคมและเสถียรภาพการทรงตัวที่ดีขึ้น
BMW R 1300 GS มาพร้อมสีภายนอกที่มีความพิเศษแตกต่างกัน 3 สี ดังนี้
- BMW R 1300 GS Option 719 มาพร้อมสีเขียว-ทองสุดหรูหราในเฉด Option 719 Aurelius Green Metallic ราคา 1,205,000 บาท
- BMW R 1300 GS Trophy มาพร้อมสีน้ำเงิน Racing Blue Metallic ที่ได้แรงบันดาลใจจากสนามแข่ง ราคา 1,125,000 บาท
- BMW R 1300 GS Triple Black มาพร้อมสีดำ Black Storm Metallic สุดเท่ ราคา 1,125,000 บาท

2. Ducati Desert X
"คล่องตัว ปราดเปรียวลุยได้สนุกทั้งออนและออฟโร้ด สมรรถนะการลุยทางฝุ่นโดดเด่น"
Ducati DesertX ถือเป็น Enduro Adventure Bike รุ่นแรกของ ดูคาติ ที่เข้ามาตอบโจทย์ ไบค์เกอร์สายลุย ด้วยดีไซน์ที่โดดเด่นไม่แพ้ใคร กับรถ Enduro ตัวรถสีขาวแต้มด้วยสีแดง พร้อมแฟริ่งด้านข้างตัวรถที่ถูกออกแบบใหม่ให้ทนทานต่อการใช้งานบนเส้นทางออฟโรด ด้วยไฟหน้าคู่ทรงกลมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากรถ Cagiva Elefant ในรายการ Paris-Dakar ที่มีการพัฒนาเครื่องยนต์ มาเป็นเครื่องยนต์ 937 ซีซี. ให้กำลังสูงสุด 110 แรงม้า ที่ 9,250 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 92 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบ/นาที
Ducati DesertX มาพร้อมสีภายนอกทั้งหมด 2 สี ดังนี้
- Ducati DesertX สีขาวสลับแดง ราคา 639,000 บาท
- Ducati DesertX RR22 Black สีดำ ราคา 649,000 บาท
บทความที่เกี่ยวข้อง

3. Yamaha Tenere 700
"เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีที่เติมเข้ามา ขี่ลุยได้สนุก ใครชอบแนวครอสคันทรี่ แรลลี่โหด ต้องรุ่นนี้"
YAMAHA Tenere 700 มาพร้อมเครื่องยนต์ 689 ซีซี ให้แรงบิด 68 นิวตันเมตร มีน้ำหนักรถเพียง 205 กก. ฟีเจอร์เด่นเริ่มจากหน้าตาที่รับแรงบันดาลใจจากมอเตอร์ไซค์วิบากในรายการแข่งขันแรลลี่ พร้อมไฟหน้า 4-LED หน้าจอแสดงผลแบบสี TFT ขนาด 5 นิ้ว พร้อมฟังก์ชันที่สามารถเชื่อมต่อกับมือถือผ่านแอปพลิเคชัน My Ride และระบบเบรก ABS แบบปรับโหมดได้ 3 รูปแบบ
Tenere 700 มีราคาค่าตัวที่ 479,000 บาท รับฟรี Gift Voucher 20,000 บาท พร้อมประกันภัยชั้น 1

4. Honda Transalp XL750
"จัดเป็นรุ่นใหม่ที่พร้อมเป็นตัวเริ่มต้นให้หลายคนที่อยากขี่ลุยและเดินทางไปพร้อม ๆ กัน ด้วยราคาที่จับต้องได้ และมีศูนย์บริการมากมาย นับเป็นตัวเลือกที่ดี"
Honda XL750 Transalp ออกแบบโดยศูนย์วิจัยและพัฒนา R&D ของฮอนด้ากรุงโรม ประเทศอิตาลี เพื่อสืบทอดจิตวิญญาณของ Transalp ในอดีต โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์ มาพร้อมกับไฟ LED รอบคัน ตัวรถออกแบบเพื่อรองรับการขับขี่หลายรูปแบบ มาพร้อมเครื่องยนต์สองสูบเรียง 755 ซีซี ให้แรงบิดที่ทรงพลังช่วงรอบต่ำถึงกลาง สามารถเลือกโหมดการขับขี่ได้ถึง 5 โหมด พร้อมระบบควบคุม HSTC (Honda Selectable Torque Control)
XL750 ใช้เฟรมแบบไดมอนด์น้ำหนักเบา ให้ความคล่องตัวสูง มั่นใจในทุกสภาวะการขับขี่ รองรับแรงกระแทกด้วยโช้กหน้าโชว่า 43 มม. และโช้คหลังแบบ Pro-Link พร้อมล้อหน้าขนาด 21 นิ้ว จับคู่กับล้อหลังขนาด 18 นิ้ว พร้อมระบบเบรก ABS ที่สามารถเลือกปิดการใช้งานที่ล้อหลังได้
ฟีเจอร์ที่โดดเด่นเริ่มที่หน้าจอสี TFT ขนาด 5 นิ้ว สามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง Android และ iOS ผ่านระบบสั่งการด้วยเสียงจากสมาร์ทโฟน (HSVCs) Honda Smartphone Voice Control system พร้อมด้วยไฟฉุกเฉิน (Emergency Stop Signal) ให้เพื่อนร่วมทางรับรู้เมื่อเบรกกระทันหัน
XL750 Transalp มีให้เลือกทั้งหมด 2 สี ได้แก่ สีดำ ราคา 389,000 บาท และสีขาว ราคา 394,000 บาท

5. Suzuki V-Strom 800DE
"มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสุด ไว้ใจได้ในสมรรถนะการขี่ลุยและเดินทาง บล็อคเครื่องยนต์รุ่นใหม่ ตอบโจทย์สำหรับสายลุยซูซูกิ"
V-STROM 800DE แอดเวนเจอร์บิ๊กไบค์สำหรับผู้ที่อยากมีรถท่องโลกแอดเวนเจอร์และใช้งานได้ทุกวัน ไม่ว่าจะในหรือนอกเมือง ตลอดจนทางไกล ซึ่งออกแบบให้เป็นบิ๊กไบค์แบบออลราวด์ ตอบสนองได้ดีทุกรูปแบบการขี่
มาพร้อมขุมพลังขนาด 776 ซีซี พาราเรลทวิน DOHC ให้ความสมดุล กำลังดีตั้งแต่รอบต่ำ นอกจากนี้ยังทันสมัยด้วยซูซูกิ ไดร์ฟ โหมด (SDMS), ซูซูกิ Intelligent Ride System (S.I.R.S.), Quick Shift System 2 ทางทั้งขึ้นและลง, ระบบลิ้นปีกผีเสื้อ Ride-by-Wire, แทร็คชัน คอนโทรลพร้อมโหมด G (Gravel) ที่ยกเลิก ABS ล้อหลัง เพื่อให้เหมาะกับการขี่ทางกรวด
บทความที่เกี่ยวข้อง
นี่คือ 5 อันดับ บิ๊กไบค์ที่สุดสายลุย สายแอดเวนเจอร์ ประจำเดือน สิงหาคม 2567 ที่เราคิดว่าน่าสนใจ ใครชอบบิ๊กไบค์ลายลุยสไตล์ไหน ก็จัดไปเลยครับ
หมายเหตุ :
หมายเหตุ :
- ราคาที่ระบุข้างต้นเป็นการค้นหาข้อมูลมาจากเว็บไซต์ของมอเตอร์ไซค์แต่ละแบรนด์ ณ วันที่ทำบทความ ดังนั้นราคาดังกล่าวจึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ และโปรดสอบถาม หรือตรวจสอบราคาล่าสุดจากตัวแทนจำหน่ายที่เกี่ยวข้องสำหรับรุ่นนั้น ๆ อีกครั้ง
- ข้อมูลสินค้าที่จัดอันดับข้างต้นนี้เป็นข้อมูลสินค้า ณ เดือนสิงหาคม 2024 และเมื่อเวลาผ่านไปลำดับเหล่านี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับข้อมูลสินค้าที่เปลี่ยนไป
- บทความนี้เป็นเพียงการแนะนำรุ่นรถที่น่าสนใจบนดุลยพินิจของผู้เขียนเท่านั้น ไม่ใช่การจัดลำดับ หรือสามารถนำไปใช้ในการอ้างอิงใด ๆ ได้

เขียนโดย
สลิล บริบูรณ์
Motorbike Guru

พูดคุยกับกูรูได้ที่