
ดูคาติ ประเทศไทย โดย บริษัท โมโตเร อิตาเลียโน จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ แบรนด์ “Ducati” อย่างเป็นทางการรายเดียวของประเทศไทย เชิญสื่อมวลชนสายจักรยานยนต์ส่วนหนึ่งร่วมทริปทดสอบ ดูคาติ หลากหลายรุ่นใน Ducati Press Trip

ทีมงานเพจ MotorbikeGuru Thailand และเว็บไซต์ Checkraka.com ได้รับเชิญเข้าร่วมกิจกรรมในครั้งนี้โดยได้ขี่บิ๊กไบค์ดูคาติรุ่น Multistrada V2S (699,000 บาท) ในเส้นทางแรก และDesertX ในเส้นทางขากลับ
Multistrada V2S บิ๊กไบค์สายทัวร์ริ่ง เร่งดี ไปได้เท่าที่ใจไป ทรงตัวสุดนิ่ง เบาเบรกนุ่มพลังจับสุดๆ ในเมืองก็คล่องและขี่ง่ายกับเครื่องยนต์ Ducati Testastretta 11° 2 สูบ ที่ใช้งานจริงได้ทุกวัน โหมดการขับขี่ที่เลือกได้เยอะตามสถานการณ์ ผู้เขียนขี่ออกตัวจากโชว์รูมดูคาติ ถนนประดิษฐมนูธรรม ใช้เส้นทางผ่านนครนายก ปราจีนบุรี ขึ้นเขาใหญ่ โดยใช้โหมด Touring เป็นหลัก ช่วงแรกที่เป็นทางราบ สามารถทำความเร็วได้เต็มที่ และพบว่าบาลานซ์ตัวรถที่ความเร็วสูงดีมาก จนลืมมองหน้าจอความเร็ว ควิกชิฟต์ทั้งขึ้นและลงช่วยเติมเต็มตอนอารมณ์สปอร์ตลากรอบต่อเกียร์ได้ไหลลื่น และช่วงที่อยากพักขี่ชิวมองทิวทัศน์ก็สบายสุดๆกับระบบครูซ คอนโทรลที่ปรับแต่งเพิ่มลดความเร็วได้ตลอด ช่วยให้มือขวาผ่อนคลายมากขึ้น ระบบเบรกเมื่อต้องชะลอจากความเร็วสูงจนหยุดนิ่งช่วงเข้าแยกไฟแดงก็ให้ความรู้สึกถึงพลังในการหน่วงที่มั่นใจและให้ความรู้สึกตอบกลับที่ตรงไปตรงมา มาถึงช่วงขึ้นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นทางลาดชันขึ้นลงและเข้าโค้งสลับซ้ายขวา การเพิ่มลดเกียร์เข้าออกโค้งส่วนใหญ่อยู่ที่เกียร์ 3 ซึ่งมีแรงบิดมากพอที่รอบต่ำครอบคลุมหลายโค้ง ตัวรถในช่วงเบรกทางลงมีบ้างที่ยางล้อหลังออกอาการล็อค (V2S หนัก 202 กก.) แต่ด้วยระบบช่วยเหลือต่างๆ ทำให้สถานการณ์คลี่คลายได้อย่างรวดเร็ว ขี่เดินทางไปได้ดีอย่างต่อเนื่อง จนมาพักรับประทานอาหารกลางวันกันก่อนสลับไปขี่รุ่นอื่นต่อ

ช่วงบ่ายผู้เขียนสลับมาขี่รุ่น DesertX (639,000 บาท) โดยมีการแวะหาสถานที่ออฟโร้ดเพื่อลองตัวรถและบันทึกภาพเฉพาะ สัมผัสแรกยอมรับว่าตัวรถที่สูงขึ้นลงลำบากสำหรับผู้ขี่ที่ไม่ได้ขี่แนวเอนดูโร่ประจำ ผู้เขียนที่สูง 171 ซม. คร่อมนั่งแล้วปลายเท้าสองข้างแตะพื้นเหมือนบัลเล่ต์ แต่เมื่อขี่ไปสักระยะเข้าเส้นทางออฟโร้ดก็พบว่าตัวรถปราดเปรียว เบาคล่องตัวขี่ง่าย มั่นคง และสนุก การให้น้ำหนักคันเร่งทำได้ละเอียด ระบบช่วงล่างเฟิร์มแบบลงตัวมากๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากลองขี่แบบเอนดูโร่ยาวๆ สักครั้ง พอเริ่มคุ้นชินบ้างก็กลับเข้าสู่การเดินทางถนนทางเรียบต่อ โดยกลับขึ้นเขาใหญ่ไปลงทางด่านปราจีนบุรี ด้วยล้อและประเภทของยางที่ต่างจาก Multistrada V2S ทำให้การทำความเร็วและเบรกช่วงเข้าออกโค้งปรับเปลี่ยนไปบ้าง ส่วนตัวก็แค่ต้องสมาธิมากขึ้น แต่ก็ผ่านทุกโค้งไปแบบไหลลื่นต่อเนื่อง ส่วนตัวชอบเกียร์ที่ทดไว้ได้เนียนกว่า แรงบิดมาดีกว่าที่รอบต่ำ แต่ไฮไลท์จริงๆ อยู่ที่การขี่ในเมืองท่ามกลางสภาพการจราจรติดขัดในช่วงหัวค่ำ ผู้เขียนที่เริ่มชินกับตัวรถ ได้หยุดออกตัวบ่อยในช่วงขี่บนถนนก็ทำให้ความสูงของรถไม่ใช่เรื่องน่ากังวลอีกต่อไป การคร่อมตอนหยุดรถใช้พื้นที่เบาะด้านหน้ามากขึ้น หย่อนสะโพกข้างหน่อยก็วางเท้าได้สบาย การชะลอเบาเบรกให้ฟิลลิ่งที่ชอบมากกว่า V2S ส่วนหนึ่งเพราะตัวรถเบากว่า และยิ่งชอบมากขึ้นไปอีกคือตอนลุยรถติด ความสูงของตัวรถกลายเป็นจุดเด่นที่ทำให้เห็นช่องทางได้กว้างไกล และคำนวนได้เร็ว สมดุลของตัวรถในช่วงความเร็วต่ำทำได้น่าประทับใจ การพลิกเปลี่ยนไลน์วิ่งทำได้อย่างฉับไวและช่วยให้การฝ่ารถติดเสมือนเกมที่สนุกไปเลย อย่างไรก็ตาม DesertX น่าจะดียิ่งขึ้นถ้าอยู่ในมือของไบค์เกอร์สายเอนดูโร่ เพราะเกิดมาเพื่อตอบโจทย์แบบนั้นโดยเฉพาะ


แต่ถ้าคุณหลงใหลในบิ๊กไบค์เอนดูโร่ทรง ปารีส-ดาการ์ นี่คือ ความสนุกที่ดูคาตินำเสนอไม่ว่างทางเทรลหรือลาดยาง ท่องไปได้ไกลด้วยถังน้ำมันจุถึง 21 ลิตร ขี่สนุกและมั่นใจด้วยช่วงล่างปรับได้ และท้องสูงจากพื้นถึง 250 มม.
Multistrada V2S
ทัวร์ริ่งบิ๊กไบค์รุ่นใหม่ ที่พร้อมให้เป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น ตอบโจทย์การขับขี่ได้ดีทุกเส้นทาง ทุกวันไม่ว่าในหรือนอกเมือง และยังขี่แบบสปอร์ตได้สนุก ตัวรถพัฒนาให้ขี่สบายได้นาน มีน้ำหนักเบา และเครื่องยนต์มีการปรับปรุงใหม่ตามแนวทางการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง ขุมพลังเครื่องยนต์ 937 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ กำลังสูงสุด 113 แรงม้า ที่ 9,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 96 นิวตันเมตร ที่ 7,750 รอบต่อนาที เทียบน้ำหนักตัวเบากว่ารุ่นก่อนหน้า (Multistrada 950) อยู่ 5 กก. ความสูงของเบาะลดลง 10 มม. อยู่ที่ 830 มม.
DesertX
DesertX
เอนดูโร่ แอดเวนเจอร์ บิ๊กไบค์ รุ่นแรกจาก ดูคาติ ตอบโจทย์ผู้ที่ขื่นชอบรถแนวนี้โดยเฉพาะ ตัวรถออกแบบโดย Jeremy faraud ที่ออกแบบรุ่น Scrambler 1100 ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรุ่น Cagiva Elefant ซึ่งชนะการแข่งขันรายการ Paris-Dakar ปี 1990 ขุมพลังเครื่องยนต์ 937 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ กำลังสูงสุด 110 แรงม้า ที่ 9,250 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 92 นิวตันเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที ล้อเป็นซี่ลวด ด้านหน้าขนาด 21 นิ้ว หลังขนาด 18 นิ้ว โช้กอัพปรับได้จากคายาบ้า มี 2 สี ขาวสลับแดงราคา 639,000 บาท และ ดำ RR22 ราคา 649,000 บาท

เขียนโดย
ชลัคร ช่วยชู
Motorbike Guru

พูดคุยกับกูรูได้ที่