Apple Vision Pro มาแล้ว! นี่คือ Spatial Computer ไม่ใช่แค่ AR/VR Headset ราคา $3,499 หรือ 121,574 บาท

 

เปิดตัวแล้วนะครับกับอุปกรณ์ AR/VR Headset ของ Apple ในชื่อ Apple Vision Pro แต่แน่นอนครับด้วยความเป็น Apple เขาจะไม่เรียกอุปกรณ์ตัวเองแบบเดียวกับคู่แข่งในตลาด แต่จะเรียกมันว่า Spatial Computer และมาพร้อมระบบปฏิบัติการใหม่ในชื่อ visionOS

 

จอแสดงผล micro OLED แต่ละข้างมีความละเอียดสูงถึง 23MP ซึ่งสูงกว่าความละเอียด 4K ในแต่ละข้างเลยละครับ และใช้เลนส์ ZEISS ส่วนชิปจะเป็น Apple M2 มาพร้อมกล้อง 12 ตัว และเซ็นเซอร์ 5 ตัว พร้อมไมโครโฟน 6 ตัว สตรีมภาพไปยังหน้าจอภายใน 12 มิลลิวินาที ซึ่งเร็วกว่าการกะพริบตาถึง 8 เท่า

Apple Vision Pro สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นาน 2 ชั่วโมง และสามารถต่อสายชาร์จเพื่อใช้งานตลอดทั้งวันได้ด้วย และมาพร้อมระบบปลดล็อก ด้วยเรตินาแบบใหม่เรียกว่า Optic ID ซึ่งเป็นระบบตรวจสอบความปลอดภัย โดยวิเคราะห์ม่านตา

 

ระบบ UI ออกแบบให้ควบคุมผ่านตา มือ และเสียง เช่นการเข้าใช้งานแอปต่างๆ เพียงแค่มองไปที่แอป แตะนิ้วเพื่อเลือก สะบัดข้อมือเพื่อเลื่อน หรือใช้เสียงเพื่อสั่งงาน นอกจากนี้ยังมีระบบ EyeSight คนอื่นสามารถมองเห็นดวงตาเราผ่านอุปกรร์ รวมทั้งเราสามารถเห็นภายนอกได้ด้วยเช่นกัน แต่ถ้าคุณทำลังชดช่อใช้งานอยู่ ตัวอุปกรณ์จะแจ้งว่าไม่ว่าง ให้คนอื่นรอบตัวคุณได้รับรู้

ในส่วนของ App Store จะมีแอปสำหรับ visionOS สามารถเข้าถึงได้ผ่าน iPhone และ iPad ซึ่งสามารถใช้งานร่วมกับ Apple Vision Pro ได้เลย และรองรับเกมจาก Apple Arcade กว่า 100 เกม นอกจากนี้ยังรองรับ FaceTime และรองรับระบบเสียง Spatial Audio ผมว่าเวลาเราใช้จะดูเท่มากๆ เลยนะครับ และแน่นอนครับว่าเราสามารถใช้งานหลายๆ อย่าง ได้พร้อมๆ กัน แถมยังรองรับอุปกรณ์อย่าง Magic Keyboard และ Magic Trackpad ด้วยนะครับ ใช้ทำงานสะดวกเลย

ดีไซน์ของ Apple Vision Pro สวยงามมากครับ มีความโค้งมน วัสดุโลหะอะลูมิเนียมโค้งรับใบหน้า  Light Seal ทำจากผ้าเนื้อนุ่ม สายรัดดูนุ่มและยืดหยุ่น ก็ต้องบอกว่าสวยเลยนะครับ แต่ส่วนตัวผมว่าดีไซน์ดูไม่หรูอย่างที่คิด ค่อนข้างดูเยอะไปหน่อย แต่ว่าไปก็ออกมาคล้ายๆ Apple Watch Ultra เหมือนกันนะครับ ซึ่งผมไม่ชอบเลย มันดูเยอะๆ ไม่เหมือนสินค้าจาก Apple สำหรับราคาก็ต้องบอกว่าสูงมากครับ $3,499 แนะ คิดเป็นเงินไทยก็ 121,574 บาท เลยครับ จะวางจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาในช่วงต้นปีหน้า และจะค่อยๆ ทำตลาดในประเทศอื่นๆ ต่อไปในช่วงปีหน้าเช่นกัน ใครสนใจก็อดใจรอกันนะครับ

 

ที่มา apple