x
icon-filter ค้นหาโทรศัพท์มือถือ
product filter
product filter
product filter
product filter

10 วิธี ประหยัดแบตเตอรี่บนมือถือสมาร์ทโฟนของคุณ

icon 15 ก.ค. 68 icon 37,623
Share
10 วิธี ประหยัดแบตเตอรี่บนมือถือสมาร์ทโฟนของคุณ

10 วิธี ประหยัดแบตเตอรี่บนมือถือสมาร์ทโฟนของคุณ

สมัยนี้หลายๆ คนก็หันมาใช้มือถือสมาร์ทโฟนกันแทบจะทุกคน เรียกว่าเป็นยุคสมัยของสมาร์ทโฟนเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะใช้โทรเข้าโทรออก ก็ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสารพัดอย่างรองรับเราอยู่บนมือถือเล็กๆ เพียงเครื่องเดียวนี้ที่มือถือสมัยก่อนหรือฟีเจอร์โฟนทำไม่ได้ อย่างเช่น ท่องอินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว, รับชมวีดิโอและมัลติมิเดียต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์, ถ่ายรูปด้วยความละเอียดที่มากขึ้น, สนทนาผ่านระบบวีดิโอ และอื่นๆ อีกมากมายที่ช่วยสร้างความบันเทิงเริงใจให้แก่ผู้ใช้งาน แต่ในขณะเดียวกัน บนประโยชน์ที่มากมายนั้นก็ต้องแลกกับการกินปริมาณแบตเตอรี่ที่มากด้วยเช่นกัน หลายครั้งในขณะที่เรากำลังใช้งานมือถือก็จำต้องหงุดหงิดกับแบตเตอรี่ที่ดูเหมือนว่าจะลดลงเร็วเหลือเกิน บางครั้งบางคราก็ต้องมาคอยลุ้นว่าวันนี้แบตเตอรี่มือถือจะเหลือรอดในระหว่างทางกลับบ้านหรือไม่ หรือบางคนก็ต้องพกแบตเตอรี่สำรองเพิ่มความหนักในกระเป๋าเข้าไปอีก
สำหรับแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนที่ใช้ในยุคปัจจุบันนี้ จะเป็นแบตเตอรี่ชนิด Lithium-ion (Li-ion) ซึ่งมีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา และสามารถจุพลังได้มากกว่าแบตเตอรี่แบบเก่า แต่ถึงแม้จะจุได้มาก แต่ก็ไม่สามารถทำงานได้ข้ามวันข้ามคืน เนื่องจากการใช้งานอย่างหนักหน่วง เช่น การเปิดแอปต่างๆ, การท่องอินเทอร์เน็ต, ส่งเมล์ และอะไรอีกหลายๆ อย่างที่โทรศัพท์สมาร์ทโฟนสมัยนี้ทำได้ รวมไปถึงการโทรเข้าโทรออกด้วยเช่นกัน
แม้ว่าแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นจะมีความจุแตกต่างกัน บางรุ่นก็มีความจุที่มาก แต่โดยรวมแล้วแบตเตอรี่สมาร์ทโฟนสมัยนี้จะมีระยะเวลาในการใช้งานต่อเนื่องเฉลี่ยประมาณ 5 ชั่วโมง ซึ่งสำหรับใครทีมีความจำเป็นที่ต้องใช้งานสมาร์ทโฟนตลอดทั้งวันละก็มีปัญหาแน่ๆ วันนี้เรามีวิธีการยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่มาฝากกันค่ะ หลักการง่ายๆ ก็เพียงแค่ลดปริมาณการใช้งานโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของคุณให้น้อยลงนั่นเอง แต่จะทำได้อย่างไรนั้น เราไปดูกันค่ะ

วิธีประหยัดพลังงานแบตเตอรี่

1. ปิดระบบสั่น
หลายคนอาจมีความจำเป็นต้องปิดเสียงเรียกเข้ามือถือแล้วเปิดระบบสั่นเสียมากกว่า อย่างเช่นในเวลาทำงาน หรือประชุม แต่แท้จริงแล้วนั้นการเปิดสั่นนี่เองที่ใช้พลังงานแบตเตอรี่มากกว่าเปิดเสียงเรียกเข้าเสียอีก เพราะในการเปิดเสียงเรียกเข้าธรรมดานั้น โทรศัพท์มือถือจะทำหน้าที่เพียงส่งเสียงสัญญาณมาที่ลำโพงเล็กๆออกมาเป็นเสียงดนตรี แต่ถ้าเปิดระบบสั่นจะใช้การทำงานในส่วนของมอเตอร์เพื่อออกแรงให้เครื่องโทรศัพท์ทั้งเครื่องนั้นเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นมา และในกระบวนการนี้จะทำให้เปลืองพลังงานมากกว่านั่นเอง อย่างไรก็ตามหากเปิดเสียงเรียกเข้าตามปกติแล้วอยากจะประหยัดแบตเตอรี่ด้วยล่ะก็ควรจะปิดระบบสั่น ใช้ระบบสั่นเมื่อจำเป็น จะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ขึ้นได้อีก 5 เท่าตัวเลยค่ะ แต่ถ้าหากอยากจะประหยัดแบตเตอรี่ให้ได้มากที่สุด ก็สามารถปิดทั้งเสียงเรียกเข้าและระบบสั่น และวางมือถือไว้ใกล้ๆ เพียงพอที่จะมองเห็นการแจ้งเตือนเมือหน้าจอสว่างขึ้นก็เพียงพอแล้วค่ะ
2. ลดความสว่างหน้าจอให้สลัวและปรับ Wallpaper หน้าจอ
ในบรรดาส่วนประกอบของการผลาญพลังงานแบตเตอรี่ที่มากที่สุดก็คือหน้าจอนี่เอง โดยในส่วนของ Android ส่วนใหญ่ที่หน้าจอเป็นแบบ AMOLED ซึ่งจะมีการแสดงผลที่สว่างและสีสด แต่ในมือถือสมาร์ทโฟนทั่วไปจะมีการตั้งค่าระบบ Auto-Brightness ให้อยู่แล้วซึ่งจะสามารถช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ได้ แต่ถ้าหากเราปรับให้หน้าจอสว่างน้อยที่สุดไปเลยนั้นก็จะช่วยให้ประหยัดแบตเตอรี่ได้มากขึ้นด้วย นอกจากจะปรับให้หน้าจอสลัวแล้ว เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานหน้าจอให้น้อยลง เราสามารถตั้งค่าให้ Wallpaper เป็นโทนสีมืดได้อีกด้วย นอกจากนี้ Wallpaper ที่เป็นภาพเคลื่อนไหวต่างๆ ก็จะมีการใช้พลังงานมากขึ้น ถ้าหากต้องการประหยัดแบตเตอรี่ก็ควรจะหลีกเลี่ยงในส่วนนี้ด้วยค่ะ
3. ตั้งเวลาปิดหน้าจออัตโนมัติให้เร็วขึ้น
หลักการก็คือ ตราบเท่าที่หน้าจอยังสว่างอยู่ก็จะยังคงมีการใช้พลังงานงานแบตเตอรี่อยู่ ซึ่งโทรศัพท์มือถือตอนนี้ก็มีส่วนที่สามารถตั้งค่าให้หน้าจอดับได้ตามเวลาที่กำหนด และถ้าตั้งค่าให้หน้าจอดับให้เร็วที่สุดก็จะเป็นการช่วยให้มือถือหยุดการทำงานได้เร็วและช่วยประหยัดแบตเตอรี่มากขึ้นนั่นเอง
4. ปิด Wi-fi / 3G / 4G / Bluetooth
อุปกรณ์และระบบไร้สายทั้งหลาย ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ใช้งานในขณะที่ปิดสัญญาณเหล่านั้นไว้อยู่ ตัวเครื่องก็จะยังกินพลังงานในส่วนนั้น อย่างถ้าเราเปิด Wi-fi / 3G / 4G / Bluetooth ทิ้งไว้ ตัวจับสัญญาณนั้นก็จะมีการอ่านคลื่นรอบตัวอยู่ตลอดเวลาอยู่ดี เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ใช้งานก็ควรจะปิดเสีย จะช่วยให้ประหยัดแบตเตอรี่ได้เป็นชั่วโมงเลยทีเดียว แต่ถ้าหากมีความจำเป็นที่จะต้องเชื่อมต่อข้อมูลอินเตอร์เน็ตผ่านระบบไร้สาย แนะนำให้ใช้ Wi-fi เนื่องจากกินพลังงานน้อยที่สุดรองจาก 3G, 4G เลยค่ะ
5. ปิด GPS
ถ้าไม่ได้มีความจำเป็นต้องใช้งาน GPS ก็ควรจะปิดเสีย หลักการก็เหมือนกับสัญญาณไร้สายอื่นๆ และในการ Share Location แต่ละครั้ง ก็มีการใช้พลังงานในส่วน GPS ที่จะทำให้กินพลังงานแบตเตอรี่มากขึ้น
6. ปิดแอปพลิเคชั่นที่ไม่ได้ใช้
โทรศัพท์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ รองรับการใช้งานแอปพลิเคชั่น 2 ตัวพร้อมๆ กัน ทำให้เกิดการใช้งานโทรศัพท์มากขึ้น และหลังจากที่เราใช้งานแอปพลิเคชั่นแล้วกดออกมาที่หน้าจอ แล้วใช้แอปอื่นต่อๆไปเรื่อยๆ ทำให้แอปพลิเคชั่นต่างๆ นั้นค้างอยู่ที่หน้า Task Manager เท่ากับว่าแอปพลิเคชั่นนั้นยังคงถูกใช้งานอยู่ และเมื่อมีการใช้งาน แบตเตอรี่ก็ต้องถูกใช้งานไปด้วย เพราะฉะนั้นการปิดแอปพลิเคชั่นที่หน้า Task Manager ก็ช่วยประหยัดแบตเตอรี่ได้ทางหนึ่ง
7. ปิดการแจ้งเตือนแอปพลิเคชั่นต่างๆ
เมื่อเราดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นใหม่ๆมา แอปนั้นจะมีการตั้งค่าให้มีการแจ้งเตือนอัตโนมัติมาด้วย ซึ่งถ้าเราไม่ได้ปิดการแจ้งเตือน ในขณะที่หน้าจอเราดับอยู่ ทุกครั้งที่มีการแจ้งเตือนแอปฯนั้น หน้าจอของเราก็จะสว่างขึ้นทุกครั้ง หรือถ้าเราเปิดทั้งเสียงทั้งระบบสั่น ก็จะมีการใช้พลังงานเพิ่มเติมถึง 3 ส่วนในการแจ้งเตือนเพียงครั้งเดียว เพราะฉะนั้นหลังจากที่ดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นมาใช้ และรู้สึกว่าแอปนั้นไม่มีความจำเป็นที่ต้องรับการแจ้งเตือน ก็อย่าลืมเข้าไปปิด รวมไปถึงแอปอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นทั้งหลายด้วยเช่นกัน
8. ใช้โหมดประหยัดพลังงาน หรือแอปพลิเคชั่นประหยัดแบตเตอรี่
สำหรับ Android จะมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Power Saving Mode หรือโหมดประหยัดพลังงาน ที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานโทรศัพท์มือถือของคุณในช่วงโค้งสุดท้ายของการทำงานแบตเตอรี่ก่อนจะลาจากเราไป ซึ่งถ้าเราเห็นว่าตัวเลขแบตเตอรี่เหลือน้อยเต็มทนแล้ว (ในที่นี้ไม่ควรต่ำกว่า 10%) ควรจะเปิดโหมดนี้ขึ้นมาใช้งาน และดูเหมือนฝั่ง Samsung จะคำนึงถึงเรื่องนี้ ใน Samsung Galaxy S5 นอกจากจะมี Power Saving Mode ธรรมดาแล้ว ยังมี Ultra Power Saving Mode โหมดประหยัดพลังงานขั้นเทพ ที่มาช่วยตัดฟังก์ชั่นที่ไม่จำเป็นออกไปในขณะที่เปิดเครื่องอยู่ โดยอาจจะใช้งานเครื่องได้ไม่เต็ม 100% นัก แต่ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ออกไปได้หลายชั่วโมงทีเดียว สำหรับ iOS จำพวก iPhone หรือ iPad ที่ไม่มี Mode นี้อยู่ ก็สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นที่ช่วยในเรื่องของการประหยัดแบตเตอรี่ได้ อย่างเช่น แอป Battery Doctor+ เป็นต้น
9. ปิด Widget ที่ไม่จำเป็น
ในสมาร์ทโฟน Android จะมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Widget ซึ่งเป็นการดึงเอาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตของแอปที่เราชอบมาไว้ในหน้า Homescreen ซึ่งเป็นทางลัดทางหนึ่งในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (ส่วนใน Windows Phone จะเรียกว่า Tile) แน่นอนว่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ย่อมใช้พลังงานแบตเตอรี่ไปด้วย เพราะฉะนั้นการปิด Widget ที่ไม่จำเป็นออกไป ก็ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากขึ้นด้วย
10. อัพเดท Software สมาร์ทโฟนสม่ำเสมอ
สำหรับ iOS ทุกครั้งที่มีการอัพเดท Software มักจะมีตัวที่อัพเกรดประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานแบตเตอรี่ให้ดีขึ้นมาด้วย และยังไม่ทำให้มือถือสมาร์ทโฟนของคุณตกรุ่นด้วยค่ะ
วิธีข้างต้นเหล่านี้นอกจากจะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ให้ยาวนานขึ้นในแต่ละรอบครั้งการใช้งานแล้ว เราก็จำเป็นต้องถนอมแบตเตอรี่ของเราเพื่อไม่ให้แบตเตอรี่เสื่อมซึ่งเป็นที่มาของการที่แบตเตอรี่หมดไวอีกด้วยค่ะ

วิธีถนอมแบตเตอรี่

  • สำหรับผู้ที่ซื้อมือถือสมาร์ทโฟนมาใช้เป็นครั้งแรกนั้น ปกติในสมัยก่อน เราอาจจะเคยได้ยินว่าต้องชาร์จแบตเตอรี่มือถือให้นานถึง 12 ชั่วโมง แต่ถ้าเป็น แบตเตอรี่ชนิด Li-ion เราทำเพียงชาร์จมือถือให้เต็มแล้วปล่อยทิ้งไว้อีกเพียงแค่ 1 - 2 ชั่วโมงเท่านั้น ไม่ต้องรอไปจนถึง 10 ชั่วโมงแต่อย่างใด
  • ในการใช้งานมือถือแต่ละครั้ง ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้แบตเตอรี่หมดก่อน เนื่องจากสมัยก่อนเราต้องรอให้แบตเตอรี่หมดเกลี้ยงจนเครื่องดับแล้วเราถึงจะชาร์จได้ แต่สำหรับแบตเตอรี่ชนิด Li-ion นั้นจะทำแบบนั้นไม่ได้เลยค่ะ เพราะกลับกันถ้าเรารอให้แบตเตอรี่ในมือถือหมดจนเครื่องดับไปนั้น จะยิ่งทำให้แบตเตอรี่เสื่อมไวมากขึ้นค่ะ เพราะฉะนั้นเราสามารถชาร์จแบตฯ มือถือสมาร์ทโฟนได้บ่อยครั้งเท่าที่เราต้องการโดยไม่จำเป็นต้องรอให้แบตเตอรี่หมดได้เลยค่ะ
  • นอกจากนี้ ควรระมัดระวังเรื่องการเก็บสมาร์ทโฟนไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูง อย่างวางทิ้งไว้ในรถที่จอดกลางแดด วางไว้ในที่ที่มีแสงแดดจัดๆ ส่องโดน เพราะอาจจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมประสิทธิภาพลงไปเยอะเลยค่ะ
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเราจะถนอมงานใช้งานแบตเตอรี่แล้ว แต่เมื่อมีการใช้งานก็ต้องมีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา เมื่อใช้มือถือผ่านไปได้ซัก 1-2 ปี เราควรจะสังเกตว่าแบตเตอรี่ของเราหมดเร็วเกินไปหรือไม่จากปกติ เพราะถ้าหมดเร็วเกินไปก็แสดงว่าถึงเวลาอันสมควรที่เราควรจะเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ได้แล้วค่ะ
แท็กที่เกี่ยวข้อง knowledge how to วิธีประหยัดแบต
Mobile Guru
เขียนโดย เช็คราคา.คอม Mobile Guru

พูดคุยกับกูรูได้ที่




เว็บไซต์นี้มีการเก็บคุกกี้เพื่อเพิ่มความพึงพอใจในการใช้งานเว็บไซต์ และช่วยให้เราปรับปรุง และนำเสนอเนื้อหาตรงตามความสนใจของท่าน ท่านสามารถดู Privacy Notice และ ดู Cookies Policy ของเราได้ ที่นี่ ทั้งนี้ ท่านจะยินยอมให้เราเก็บคุกกี้ทั้งหมด หรือให้เก็บแค่บางส่วนโดยการคลิกเลือก ตั้งค่า

ท่านสามารถเลือกให้ความยินยอมการเก็บคุกกี้เป็นเรื่องๆ ได้ที่นี่

เมื่อคุณเข้าชมเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่น checkraka เราอาจจัดเก็บ หรือดึงข้อมูลจากเบราว์เซอร์ของคุณในรูปแบบของคุกกี้ และเทคโนโลยีอื่นที่คล้ายคลึง เช่น tag และ pixel (เรียกรวมกันว่า “คุกกี้”) ซึ่งมักเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้โดยตรง แต่ช่วยให้คุณใช้งานเว็บไซต์ได้ปลอดภัย และตรงตามความต้องการมากขึ้น คุณอาจไม่ยินยอมให้เราเก็บคุกกี้บางประเภทได้ โดยการคลิกตามหัวข้อข้างล่างนี้

ประเภทคุกกี้
อ่านเพิ่มเติม ที่นี่
ยินยอม / ไม่ยินยอม
คุกกี้ที่จำเป็นต้องมีเสมอ
(Strictly Necessary)
คุกกี้สำหรับการใช้งานเว็บไซต์
(Functionality)
คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและวิเคราะห์
(Performance & Analytics)
คุกกี้เพื่อการตลาด
(Marketing)