
กิจกรรมป้ายยา!!! จากเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จัดกิจกรรมทดสอบการขับขับสุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Mercedes-Benz Driving Events 2024” ชวนลูกค้า สื่อมวลชนและพนักงานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ร่วมสัมผัสประสบการณ์ตรงบนแทร็คสนามแข่งระดับโลก พร้อมกับสุดยอดยนตรกรรมกว่า 24 รุ่น โดยขนทัพรถสมรรถนะสูงในตระกูล Mercedes-AMG มาด้วยกันถึง 8 รุ่น นำโดยรุ่นล่าสุดอย่าง Mercedes-AMG CLE 53 4MATIC+ Coupé และ Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ ปลั๊กอินไฮบริดใหม่ล่าสุด รวมถึงรถยนต์สปอร์ตคูเป้ CLE 300 4MATIC Coupé AMG Dynamic และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% รุ่นล่าสุดอย่าง EQE 300 โดยผู้ร่วมกิจกรรมจะได้ฝึกทักษะและเรียนรู้เทคนิคการขับขับขั้นสูงจากทั้งผู้ฝึกสอนดีกรีแชมป์ โลกตำนานมอเตอร์สปอร์ต และผู้ฝึกสอนระดับแนวหน้าของประเทศไทย ที่จะมาร่วมการทดสอบและจำลองการแข่งขันจริงบนสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จังหวัดบุรีรัมย์
.jpg.webp)
.jpg.webp)
ความพิเศษยังไม่หมดแค่นี้ เมื่อเมอร์เซเดส-เบนซ์ ส่งเซอร์ไพรส์พิเศษในการนำ Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ Final EDITION ว่าที่ตำนานแห่งรถสปอร์ตคูเป้ 4 ประตู รุ่นสุดท้ายในประเทศไทย มาเผยโฉมครั้งแรกบนสนามแข่ง โดยมาพร้อมรูปลักษณ์ใหม่เอาใจสาวก AMG เสริมความดุดันขั้นสุดด้วยชุดแต่ง AMG Night Package II และล้ออัลลอยด์ 5-twin spoke สีดำ ขนาด 20 นิ้ว พร้อมคาลิเปอร์สีแดงประทับสัญลักษณ์ AMG จัดเต็มด้วยแพ็คเกจเสริมของ Mercedes-AMG อย่าง AMG Performance exhaust system และ AMG DYNAMIC PLUS package ที่มาพร้อมโหมด “RACE” และ Drift mode รวมถึงการติดตั้งไฟส่องสว่างใต้กระจกมองข้าง Surround lighting with projection ฉายภาพโลโก้ AMG โดยในช่วงเปิดตัวจะมาพร้อมราคาจำหน่ายที่ 5,480,000 บาท
(เงื่อนไขให้เป็นไปตามที่บริษัทฯ และตัวแทนจำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการกำหนด)
(เงื่อนไขให้เป็นไปตามที่บริษัทฯ และตัวแทนจำหน่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการกำหนด)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ รุ่นประกอบในประเทศ ราคาจำหน่าย 5,850,000 บาท Mercedes-AMG มาพร้อมระบบขับเคลื่อนแบบ Plug-in Hybrid เจเนเรชั่นที่ 4สามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าระยะทางสูงสุด 86 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP ติดตั้งอุปกรณ์ขั้นสูงแบบจัดเต็ม และเป็นครั้งแรกที่มีการติดตั้งล้อฟอร์จ (Forged) ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG ขนาด 22 นิ้ว สำหรับรุ่นประกอบในประเทศ และยังมี AMG Performance 4MATIC+, AMG RIDE CONTROL+ suspension, AMG high-performance brake system และ AMG Performance exhaust system โดยเปิดราคาจำหน่ายที่ 5,850,000 บาท ที่ตัวแทนจำหน่าย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี อย่างเป็นทางการ โดยจะเริ่มส่งมอบรถในเดือนตุลาคมเป็นต้นไป
.jpg.webp)
ดีไซน์ภายนอกเพิ่มความดึงดูดสายตาบนท้องถนนด้วยการตกแต่งแบบ AMG Night Package กับสี Deep gloss black ที่ถูกตัดแซมไว้บนชุดกันชนหน้า “A-wing” กระจกมองข้าง คิ้วขอบกระจก แร็คหลังคา กันชนท้าย และปลายท่อคู่อันทรงพลังเพื่อมอบพลังความสปอร์ตและปราดเปรียวตามแบบฉบับของ AMG Exterior ไฟหน้า MULTIBEAM LED ผสานการทำงานกับ Adaptive Highbeam assist Plus ที่จะมอบความปลอดภัยขณะขับขี่แบบไร้กังวล ติดตั้งล้อฟอร์จ (Forged) ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ Cross-spoke ขนาด 22 นิ้ว พ่นด้วยสีดำด้าน matte black
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
ภายในห้องโดยสารมาพร้อม AMG Interior Package มอบรายละเอียดการตกแต่งที่โดดเด่นตามสไตล์สปอร์ตในทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็น พวงมาลัย AMG Performance steering wheel พร้อมระบบพวงมาลัย AMG Steering 3 สเตจ ติดตั้งเบาะนั่งหุ้มด้วยหนังและไมโครไฟเบอร์ หลังคากระจก Panoramic Sunroof ที่ช่วยเพิ่มความโปร่งสบายให้กับห้องโดยสาร มอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าด้วยระบบปฏิบัติการ MBUX7 แบบ zero-layer concept ที่ออกแบบมาตามรูปแบบโปรแกรม AMG ไม่ว่าจะเป็น หน้าจอธีมพิเศษของ AMG รวมถึงการวัดแทร็กสนาม โดยควบคุมผ่านจอกลางแบบ widescreen cockpit ขนาด 12.3 นิ้ว ที่เชื่อมต่อกับ AMG Head-up Display ขนาด 12.3 นิ้ว ติดตั้งระบบนำทางแสดงภาพเสมือนจริง MBUX augmented reality for navigation และระบบเสียง Burmester® surround sound system ลำโพง 13 ตัว กำลังขับ 590 วัตต์ พร้อม Dolby Atmos® ช่วยมอบเสียงเพลงที่คมชัดสมจริงรอบทิศทางราวกับอยู่ในสตูดิโอ
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
ขุมพลังเบนซิน 6 สูบ แถวเรียง 3.0 ลิตร เทอร์โบ (M256M) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Plug-in hybrid และแบตเตอรี่ขนาด 31.2 kWh มีระยะทางการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าสูงสุด 86 กิโลเมตร ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง ตามมาตรฐาน WLTP รองรับการชาร์จแบบ DC สูงสุด 60 kWh ใช้เวลาจาก 10-80% ภายในระยะเวลา 20 นาที และการชาร์จแบบ AC สูงสุด 11 kWh ใช้เวลาจาก 0-100% ภายในระยะเวลา 3 ชั่วโมง ติดตั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ AMG Performance 4MATIC+ สามารถกระจายแรงส่งกำลังได้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังแบบอิสระเพื่อให้ตอบโจทย์บนทุกสภาพพื้นผิวถนน ใช้เกียร์อัตโนมัติ 9 จังหวะ AMG SPEEDSHIFT TCT 9G ให้กำลังสูงสุด 544 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 750 นิวตันเมตร สามารถทำอัตราเร่งจาก 0 - 100 กม./ชม. ภายในเวลา 4.7 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
.jpg.webp)
ติดตั้งโปรแกรมการขับขี่ AMG DYNAMIC SELECT สามารถปรับเลือกได้ถึง 7 รูปแบบ ตามไลฟ์สไตล์การขับขี่ รวมถึงโหมด Off-Road ที่มาพร้อมการแสดงผลแบบ Transparent bonnet ที่จะแสดงภาพใต้ท้องรถแบบ real-time ทำให้สามารถหลบหลีกสิ่งกีดขวางได้อย่างสะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ผสานการทำงานด้วยระบบกันสะเทือนแบบ AMG RIDE CONTROL+ ที่ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับระบบกันสะเทือนแบบ

.jpg.webp)
ถุงลม (Adaptive AIRMATIC) และระบบเบรกแบบ AMG high-performance brake system ด้านหน้า 6 พอร์ต และด้านหลัง 1 พอร์ต ติดตั้งระบบถ่ายทอดเสียงเครื่องยนต์และเทอร์โบแบบ AMG Performance exhaust system ซึ่งเป็นนวัตกรรมท่อที่เร้าใจที่สุดของ Mercedes-AMG สามารถเลือกปรับระดับเสียงท่อไอเสียได้ทั้งแบบ BALANCED หรือ POWERFUL ผ่านคอนโซลกลาง หรือบน AMG steering wheel buttons พร้อมเติมเต็มอารมณ์สปอร์ตให้แก่ผู้ขับขี่ได้อย่างเต็มพิกัด
.jpg.webp)
สำหรับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยนั้น Mercedes-AMG GLE 53 HYBRID 4MATIC+ จัดมาให้อย่างเต็มพิกัด ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยเหลือการขับขี่ Driving Assistance Plus Package และระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉิน (Active Emergency Stop Assist) ระบบช่วยเตือนอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่ (ATTENTION ASSIST) ระบบรักษาระยะห่างจากรถด้านหน้าและควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Active Distance Assist DISTRONIC) ระบบเบรก ADAPTIVE BRAKE พร้อมฟังก์ชัน HOLD และ Hill-Start Assist ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock braking system) โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP® (Electronic Stability Program) ระบบเตือนเพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ (ASSYST service interval indicator) ระบบช่วยควบคุมพวงมาลัย (Active Steering Assist) และ Parking Package พร้อมกล้องรอบคัน 360° ฯลฯ
.jpg.webp)
มีสีตัวถังให้เลือกทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีขาว (Polar White) สีดำ (Obsidian Black) สีเทา (Selenite Grey) สีเทา (MANUFAKTUR Alpine Grey Solid) และสีแดง (MANUFAKTUR Hyacinth Red Metallic)
กิจกรรมนี้ได้ลองขับเกือบทุกรุ่น
.jpg.webp)
สำหรับกิจกรรม Mercedes-Benz Driving Events ประกอบไปด้วยสถานีทดสอบการขับขี่ทั้งหมด 4 สถานี ก่อนที่จะให้ผู้ร่วมกิจกรรมประลองการแข่งขันจริงแบบเต็มสนาม โดยมีรายละเอียดของสถานีต่าง ๆ ดังนี้
.jpg.webp)
- สถานีที่ 1 “Motor Khana” สถานีการทดสอบที่มีสิ่งกีดขวางมากมาย ซึ่งบังคับให้ผู้ขับขี่ต้องสร้างความสมดุลระหว่างความเร็ว ความคล่องตัวและความปลอดภัยในการขับขี่โดยมีหัวใจสำคัญคือการควบคุมการทรงตัวของรถ การบังคับทิศทางของพวงมาลัย การกะระยะและจังหวะเบรก รวมถึงการเติมคันเร่งในช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อฝ่าฟันทุกสิ่งกีดขวางไปได้อย่างปลอดภัยในระยะเวลาที่สั้นที่สุด
.jpg.webp)
สำหรับรถยนต์ที่ใช้ในสถานีนี้ ได้แก่ CLE 300 4MATIC Coupé AMG Dynamic, C 220 d AMG Line, C 350 e AMG Dynamic, CLS 220 d AMG Premium, E 220 d AMG Line และ E 350 e AMG Dynamic
.jpg.webp)
- สถานีที่ 2 “Brake & Avoid” สถานีการทดสอบระบบเบรกและระบบความปลอดภัยของตัวรถ รวมถึงการทดสอบปฏิกิริยาตอบสนองต่อสถานการณ์ที่ท้าทายต่อผู้ขับขี่เพื่อทำให้ผู้ขับขี่คุ้นชินกับระยะเบรกของรถและระบบความปลอดภัยที่เข้ามาช่วยเหลือผู้ขับขี่ในสถานการณ์ฉุกเฉินต่าง ๆ โดยแบ่งการทดสอบเป็น 2 ส่วน คือ การทดสอบเบรกทางตรงและการทดสอบเบรกแบบหักหลบสิ่งกีดขวาง ด้วยพิกัดความเร็ว 80 และ 100 กม./ชม. ตามลำดับ ซึ่งผู้ขับขี่จะต้องอาศัยทักษะการขับขี่และความเร็วในการตอบสนองต่อสัญญาณไฟที่ปรากฏอยู่บนเสาสถานีเพื่อเบรกฉุกเฉินพร้อมหักหลบไปยังทิศทางที่กำหนดไว้
.jpg.webp)
สำหรับรถยนต์ที่ใช้ในสถานีนี้ได้แก่ GLC 350 e 4MATIC AMG Dynamic, GLC 350 e 4MATIC Coupé AMG Dynamic, GLE 300 d 4MATIC AMG Dynamic, GLE 300 d 4MATIC AMG Line และ GLS 450 d 4MATIC AMG Dynamic
.jpg.webp)
- สถานีที่ 3 “Drag Race” สถานีการทดสอบที่ผู้ขับขับจะได้สัมผัสถึงสมรรถนะอันทรงพลังของรถในตระกูล Mercedes-AMG ด้วยการจ าลองการแข่งทางตรงในระยะสั้น โดยนอกจากการเร่งความเร็วแบบเต็มสูบตั้งแต่จังหวะการออกตัวเพื่อทิ้งห่างคู่แข่ง เมื่อใกล้ถึงจุดที่กำหนด ผู้ขับขี่จะต้องกะระยะเบรกให้รถหยุดนิ่งในตำแหน่งที่ถูกต้องเพื่อชนะการแข่งขันในแต่ละรอบ
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
สำหรับรถยนต์ที่ใช้ในสถานีนี้ได้แก่ Mercedes-AMG CLE 53 4MATIC+ Coupé, Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+, Mercedes-AMG EQE 53 4MATIC+, Mercedes-AMG G 63, Mercedes-AMG GLA 35 4MATIC, Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé, Mercedes-AMG GLE 53 HYBIRD 4MATIC+ และ Mercedes-AMG SL 43
.jpg.webp)
- สถานีที่ 4 “Cornering” สถานีการทดสอบที่เน้นทักษะการเข้าโค้งและสร้างความคุ้นเคยกับเส้นทางคดเคี้ยวในช่วงครึ่งหลังของสนามช้างฯ ซึ่งมีรูปแบบของโค้งที่หลากหลายและให้ความรู้สึกท้าทายในรูปแบบที่ต่างกัน โดยมีเป้าหมายในการขับขี่ผ่านโค้งต่าง ๆ อย่างรวดเร็วและปลอดภัยที่สุด ซึ่งผู้ฝีกสอนจะคอยแนะนำขั้นตอนทั้งหมด ตั้งแต่จังหวะการเบรกก่อนเข้าโค้ง การลดรัศมีของโค้งวิธีการมองจุดตัดยอดโค้ง จนไปถึงการหาทางออกและจังหวะการออกรถเมื่อพ้นโค้ง โดยทุกเทคนิคสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งการขับขี่บนสนามแข่งและการขับขี่บนถนนในชีวิตประจำวัน
.jpg.webp)
สำหรับรถยนต์ที่ใช้ในสถานีนี้ ได้แก่ EQE 300, EQS 500 4MATIC SUV AMG Dynamic, EQE 350 4MATIC SUV AMG Line, EQE 350 4MATIC SUV Electric Art และ EQS 500 4MATIC AMG Premium
.jpg.webp)
และเมื่อฝึกทักษะจนครบหลักสูตรทั้ง 4 สถานีทุกคนจะได้ลงสนามจริงเพื่อขับขี่แบบ Full Lap ในรอบ Lead & Follow และ Racetrack Experience ซึ่งจะมีผู้ฝึกสอนเป็นผู้ขับนำและขับขี่ตาม Racing Line ที่ถูกต้อง โดยจะมีการแบ่งกลุ่มการขับขี่เป็นกลุ่มๆ ด้วยรถที่มีสมรรถนะใกล้เคียงกัน และในแต่ละรอบผู้ขับขี่จะได้สับเปลี่ยนกันขับยนตรกรรมหลากหลายรุ่น สัมผัสความแรงทุกรูปแบบในทุกพิกัดตัวถังของยนตรกรรมจากเมอร์เซเดส-เบนซ์
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
.jpg.webp)
สามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรถยนต์รุ่นต่าง ๆ ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ได้ที่ www.mercedes benz.co.th หรือที่ศูนย์บริการเมอร์เซเดส-เบนซ์ อย่างเป็นทางการทุกสาขาทั่วประเทศ หรือติดตามข่าวสารอัพเดทผ่านทาง Facebook: Mercedes-Benz Thailand
IG: @MercedesBenzThailand
และ LINE: @mercedesbenzth
IG: @MercedesBenzThailand
และ LINE: @mercedesbenzth

เขียนโดย
สินธนุ จำปีศรี
CAR GURU

พูดคุยกับกูรูได้ที่