ประเมินวงเงินรู้ผลใน 3 นาที

กับ กรุงศรี ออโต้ พร้อมสตาร์ท

เริ่มประเมินวงเงินพร้อมสตาร์ท
ผ่านมือถือ สแกนเลย

ดูวงเงินพร้อมสตาร์ทที่ได้รับ

x
icon-filter ค้นหารถยนต์
product filter
product filter
product filter
product filter
product filter

รีวิว Ford Everest รถอเนกประสงค์ SUV ใหม่ สุดหรูหรา สะดวกสบาย ปลอดภัยที่สุดสำหรับครอบครัว

icon 18 เม.ย. 65 icon 18,802
รีวิว Ford Everest รถอเนกประสงค์ SUV ใหม่ สุดหรูหรา สะดวกสบาย ปลอดภัยที่สุดสำหรับครอบครัว
รีวิว Ford Everest รถอเนกประสงค์ SUV ใหม่ สุดหรูหรา สะดวกสบาย ปลอดภัยที่สุดสำหรับครอบครัว
Ford Everest รถอเนกประสงค์ SUV หรือ PPV ใหม่ล่าสุดเพิ่มความพรีเมี่ยม หรูหรา และสะดวกสบายในทุกการเดินทาง ให้ความนุ่มนวล โอ่อ่า กว้างขวางในทุกที่นั่ง สมรรถนะเพียงพอสำหรับการเดินทาง สำหรับในรุ่นท็อปสุด Titanium+ 2.0L Bi-turbo 4x4 AT ขุมพลัง ดีเซล 2.0 ลิตร Bi-Turbo กำลังสูงสุด 213 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์ 10 สปีด ราบรื่น และเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้ทุกแพลตฟอร์ม และเป็นเจ้าแรกๆ ที่มีระบบควบคุมความเร็วแปรผัน Adaptive cruise control ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System และระบบช่วยจอดแบบขนาด Active Park Assist มาให้ด้วย
สำหรับการทดสอบครั้งนี้ ได้สัมผัสกับ Titanium+ 2.0L Bi-turbo 4x4 AT ที่นับเป็นรุ่นท็อปสุด สีน้ำเงิน Deep Crystal Blue ใหม่ล่าสุด กับค่าตัว 1,799,000 บาท จะให้ความสะดวกสบาย พร้อมสมรรถนะและความปลอดภัยดีแค่ไหนไปพิสูจน์กันครับ
ภายนอกปรับใหม่ หรูหรา พรีเมียมขึ้น
Ford Everest Titanium+ 2.0L Bi-turbo 4x4 AT รุ่นปี 2020 หรือจะเรียกข้ามไปเป็น 2021 ก็ได้ มาพร้อมการปรับโฉมเล็กน้อย ด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ ตัวอักษร "EVEREST" ที่ฝากระโปรงหน้า ไฟหน้าดีไซน์หรูหราด้วย LED Projector ไฟต่ำ และส่วนของไฟสูงเป็นมัลติรีเฟลกเตอร์พร้อมหลอดแบบ LED หรือจะเรียกว่าเป็น Bi-LED ก็ย่อมได้ สามารถเลือกเป็นโหมด AUTO เปิด-ปิดอัตโนมัติ และมีระบบปรับไฟสูงลงมาต่ำอัตโนมัติ เมื่อมีรถสวนทาง และ LED Daytime running light ขอบล่างของโดมไฟสว่างโดดเด่น                   
เจ้าแรกที่ให้หลังคา Panoramic moonroof ในเซกเมนต์ PPV ที่ด้านข้างมาพร้อมกาบบันได กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว LED ตกแต่งวัสดุโครเมี่ยมที่กระจกมองข้าง และมือจับประตู ราวจับยึดสัมภาระหลังคาสีเงิน เสาอากาศแบบสั้น 
ส่วนท้ายโดดเด่นด้วยไฟ LED พร้อมระบบเปิด-ปิดประตูไฟฟ้า กับฟังก์ชัน Handfree (เตะเปิด) ที่นับเป็นเจ้าแรกๆ ที่ติดตั้งในรถกลุ่มนี้ ปิดท้ายด้วยล้อแม็ก 20 นิ้ว ไซน์โตดีไซน์สวยหรู ลงตัวกับขนาดรถได้เป็นอย่างดี 
ภายในสะดวกสบายเต็มคัน
ภายในคงความสะดวกสบาย หรูหราและฟังก์ชันใช้งานที่ครบถ้วน เริ่มที่เบาะคู่หน้าฝั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง พร้อมดันหลังแบบปรับด้วยมือ เบาะฝั่งข้างคนขับปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ปุ่มควบคุมระบบเอ็นเตอร์เทนเมนต์ฝั่งซ้ายและระบบสั่งการหน้าจอแสดงผลกับควบคุมครูสคอนโทรลทางฝั่งขวา และวัสดุหุ้มหนังให้สัมผัสนุ่มมือ
มาตรวัดตรงกลางบอกความเร็ว ฝั่งซ้ายแสดงการทำงานของระบบเครื่องเสียง ส่วนทางขวาเป็นการแสดงผลต่างๆ ของตัวรถ เช่น วัดความเร็วรอบเครื่องยนต์ ความร้อน อุณหภูมิ นอกจากนี้ยังเลือกเปลี่ยนการแสดงผลดูรายละเอียดได้อีกเพียบ ทั้ง ระดับลมยางทั้ง 4 ล้อ ระดับความเอียงของตัวรถ และยังเป็นจุดแจ้งเตือนการทำงานต่างๆ ได้แก่ ระบบเตือนออกนอกเลน ระบบเตือนการชนด้านหน้า หรือระบบควบคุมความเร็วแปรผัน เป็นต้น 
หรูหราด้วยหลังคาชมวิว Panoramic Moonroof เจ้าเดียวใน PPV ที่เป็นกระจกยาวถึงผู้โดยสารตอนหลัง เปิดได้ทั้งแบบกระดกขึ้นและเลื่อนออกได้ครึ่งหนึ่ง พร้อมแผ่นบังแสงลดความร้อนจากกระจก ชายประตูด้านหน้าฝั่งคนขับและคนนั่ง ตกแต่งด้วย สคับแพลต LED
คอนโซลหน้าหุ้มวัสดุนุ่มมือพร้อมเดินด้ายจริง ช่องแอร์ตกแต่งด้วยวัสดุโครเมี่ยม ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC3 ภาษาไทย หน้าจอสัมผัส Multi-Touch อินโฟเทนเมนต์ตรงกลางขนาด 8 นิ้ว พร้อมฟังก์ชันควบคุมเครื่องเสียง เชื่อมต่อได้ทั้ง Bluetooth และ Wi-Fi รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto ลำโพง 8 ตำแหน่ง และ ระบบแผนที่นำทาง Navigation และเลือกปรับแสงสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารหรือ Ambient Lighting ได้ตามต้องการ
ถัดลงมาจากจอเครื่องเสียงมีแผงควบคุมระบบปรับอากาศอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา หรือ Dual Zone และสามารถควบคุมช่องแอร์ผู้โดยสารตอนหลังได้ด้วย ด้านล่างมีช่องเชื่อมต่อ USB 2 จุดและ 12V อีก 1 จุด พร้อมที่วางของ หัวเกียร์หุ้มหนังพร้อมกับสวิตช์บวกและลบเลือกเปลี่ยนตำแหน่งได้เอง 
ที่ฐานเกียร์มีปุ่มควบคุมการทำงานของระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ 4X4 สามารถเลือกปรับรูปแบบโหมดการขับขี่ได้ 4 แบบ คือ ปกติ, ทางหิมะหรือเปียกลื่น, ทรายหรือกรวดลอย และปีนหินหรือผ่านอุปสรรคที่ต้องใช้กำลังในการข้ามผ่านมากๆ นอกจากนี้ยังมีระบบ Electronic Locking Rear Differential ล็อคเฟืองท้ายและระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางชัน Hill Descent Control เพื่อความปลอดภัยขณะลงทางชันมากๆ ได้เป็นอย่างดี 
มาถึงเบาะแถวที่ 2 นับว่าเป็นตำแหน่งนั่งสบายที่สุด ตัวเบาขนาดใหญ่ ผิวสัมผัสหนังนุ่มโอบกระชับลำตัวได้ดี และอยู่ในท่านั่งที่เหมาะสม ไม่เอนมากไป ตำแหน่งวางขาระดับพอดีไม่ต่ำหรือสูงเกินไป และยังพับแบบ 60/40 สำหรับการเข้าไปในตำแหน่งแถวที่ 3 ซึ่งตรงจุดนี้การพับและเลื่อนเบาะแถวที่ 2 เพื่อเข้าไปนั่งในเบาะแถวที่ 3 นั้น ค่อนข้างจะแคบและยากสักนิดหน่อย เพราะช่องทางก้าวเข้าไปนั้นเล็ก ประกอบกับตัวรถที่สูง อาจต้องตั้งหลักดีๆ ก่อนจะเข้าไปนั่ง
ในเบาะแถวที่ 3 นั้นการเข้ามานั่งอาจจะลำบากเล็กน้อย แต่เมื่อนั่งได้แล้วตำแหน่งการวางเท้า หลัง และศีรษะมีพื้นที่หลวมๆ พอสมควร มีเพียงช่วงหัวเข่าที่จะติดกับพนักพิงเบาะแถวที่ 2 อยู่พอสมควร อาจต้องเลื่อนขึ้นไปให้คนในเบาะแถวที่ 3 นั่งได้ไม่ติดหัวเข่าเกินไป ส่วนถ้าเป็นเด็กๆ หรือคนตัวเล็กๆ หน่อย น่าจะเหมาะสมกว่าครับ ปิดท้ายด้วยระบบพับเบาะแถวที่ 3 ด้วยไฟฟ้าเพียงกดสวิตช์เท่านั้น นับเป็นเจ้าเดียวเช่นกันสำหรับการพับเบาะแถวที่ 3 ด้วยไฟฟ้า 
สุดท้ายกับความสะดวกสบาย ด้วยระบบประตูท้ายไฟฟ้า ที่ใช้เปิดได้จากสวิตช์บนฝาท้าย หรือสั่งการที่รีโมท และระบบใช้เท้าเตะเปิดหรือ "Handfree" เพียงแค่มีรีโมทติดตัวเอาไว้ก็ใช้ได้แล้ว อีกทั้งยังใช้ง่ายเพียงแค่กวาดเท้าแค่ครั้งเดียวก็ทำงานทันที และยังสั่งให้ปิดได้อีกด้วย  
ขุมพลังเทอร์โบคู่ จัดหนัก 213 แรงม้า
ขุมพลังใน Ford Everest Titanium+ 2.0L Bi-turbo 4x4 AT นับเป็นจุดเด่นที่เรียกว่ามีพละกำลังมากที่สุดในกลุ่ม PPV ของไทยกับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ 16 วาล์ว 2.0 ลิตร เทอร์โบคู่ Bi-Turbo ให้กำลังสูงสุด 213 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที ผ่านระบบเกียร์ 10 สปีด และมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัจฉริยะพร้อมระบบ Terrain Management (i4WD with Terrain Management System)
ซึ่งต้องบอกก่อนว่า เอเวอเรสต์ใหม่นี้นอกจากจะมีการปรับโฉมภายนอกแล้ว ระบบอะไหล่และชิ้นส่วนต่างๆ ก็ถูกปรับปรุงให้มีสมรรถนะและความทนทานที่ดีขึ้นอีกด้วย การันตีโดยการรับประกันเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังนานขึ้นเป็น 10 ปี หรือ 150,000 กิโลเมตร 
นุ่มนวลด้วยช่วงล่างด้านหน้าอิสระปีกนก 2 ชั้น คอยล์สปริง เหล็กกันโคลง ด้านหลังคอยล์สปริงพร้อมวัตต์ลิงค์และเหล็กกันโคลง พวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้าผ่อนแรงน้ำหนักเบา ขับขี่ง่ายคล่องตัวดี   
ความปลอดภัย
ความปลอดภัย Ford Everest Titanium+ 2.0L Bi-turbo 4x4 AT นับว่าเป็นรุ่นที่ให้มาเต็มคันกับเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่อัจฉริยะ (Advanced-Driving Assist Technology) โดยระบบที่โดดเด่นก็คือ 
  • ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control เจ้าแรกๆ ในเซกเมนต์นี้ 
  • ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ Active Park Assist (ฟอร์ดเป็นยี่ห้อเดียวที่มีใน segment PPV) เจ้าเดียวที่มีให้ในรถระดับเดียวกัน
  • ระบบช่วยเบรคอัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน AEB with Pedestrian Detection (Autonomous Emergency Braking with Pedestrian Detection) ใหม่
  • ระบบเตือนการชนด้านหน้า Forward Collision Warning System
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง Lane Keeping System
  • ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ Auto High Beam Control
  • ระบบตรวจจับรถขณะออกจากซองจอด Cross Traffic Alert
นอกจากนี้ยังมี ถุงลม 7 ตำแหน่ง ระบบ ABS, EBD, ESP, ระบบควบคุมการทรงตัว traction control, ระบบควบคุมเมื่อมีรถต่อพ่วง roll over mitigation (ROM) ระบบตรวจจับรถในจุดบอด Blind Spot Information System กล้องมองหลัง 
เรียกว่าระบบความปลอดภัยในบางรายการนั้นมีให้มาก่อนใครใน Everest และยังคงเน้นความเป็นพรีเมี่ยม SUV ที่ให้ความปลอดภัยมากที่สุดรุ่นหนึ่งก็ว่าได้ครับ 
ความรู้สึกเมื่อทดลองขับ
Ford Everest Titanium+ 2.0L Bi-turbo 4x4 AT หลังจากได้ลองใช้งานทั้งในและนอกเมือง จุดเด่นที่ชัดเจนเป็นตัวตนของเอเวอเรสต์ก็คือ "ความนุ่มนวลเงียบและปลอดภัย" เพราะระบบช่วยเตือนต่างๆ ขยันเตือนมากๆ เช่น การเตือนออกนอกเลน ซึ่งสามารถตั้งค่าให้เตือนด้วยเสียง เตือนพร้อมดึงกลับได้ด้วย และยังมีสวิตช์เปิดหรือปิดหากไม่ต้องการใช้งานที่ปลายก้านสวิตช์ไฟเลี้ยวทางขวา ระบบเซ็นเซอร์เตือนรอบคันคอยส่งเสียงดังเมื่อยามมีวัตถุหรือขับเข้าใกล้จุดเสี่ยง ทำให้เพิ่มความระวังได้ดีขึ้น
เบาะนั่งนุ่มนวลสบายตัว ผิวสัมผัสของเบาะไม่แน่นจนเกินไป ยังพอมีความอ่อนนุ่มรับกับสัดส่วนได้บ้าง ผิวสัมผัสของหนังแท้บนพวงมาลัยนุ่มมือกระชับดีมาก ส่วนตัวชอบตรงจุดนี้เป็นพิเศษ เพราะว่าต้องสัมผัสตลอดเวลา จึงช่วยเรื่องผ่อนคลายและความกระชับในการควบคุมรถ และน้ำหนักของพวงมาลัยที่เบามาก เมื่อจอดนิ่งหรือใช้ความเร็วต่ำ ส่วนความเร็วยังพอมีความตึงๆ มือบ้าง ไม่เบาเกินไปแต่ก็ไม่หนัก อาจต้องประคองพวงมาลัยอย่างแน่นเมื่อต้องใช้ความเร็วสูงหรือเข้าทางโค้ง และทัศนะวิสัยในการมองเห็นโปร่งโล่งสบายตา   
สมรรถนะอัตราเร่ง 
อัตราเร่งของเครื่องยนต์ที่ว่า 213 แรงม้ากับแรงบิด 500 นิวตัน-เมตรนั้น ส่วนตัวมองว่ามีให้เพียงพอต่อการใช้งานทั่วไป แต่จะสัมผัสกำลังได้ดีในช่วงเร่งแซงหรือขึ้นทางชัน ด้วยน้ำหนักตัวราวๆ 2 ตัน จึงทำให้เอเวอเรสต์มีอัตราเร่งออกตัวไม่หวือหวานัก ประกอบกับระบบเกียร์ 10 สปีดที่มีระยะห่างอัตราทดที่ชิดกันมาก จึงไม่รู้สึกถึงการเร่งแรงนัก แต่ว่ากลับได้เรื่องความนุ่มนวล ราบรื่น และลดอาการกระชากหากต้อง "คิกดาวน์" ตรงตามวัตถุประสงค์ของรถยนต์แบบครอบครัวที่เน้น "ความนุ่มนวลและปลอดภัย" เป็นสำคัญครับ
ถึงแม้ขณะออกตัวจะไม่ดุดันนัก แต่ความเร็วก็ไต่ระดับขึ้นไปแตะที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากจุดหยุดนิ่งแบบไม่นานนัก ซึ่งยังคงความนุ่มนวลแก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสารเช่นเดิม ทั้งการเร่งแบบฉุกเฉินหรือจะเร่งแซงก็ยังให้ความนุ่มนวลมากเป็นพิเศษ
ในบางจังหวะที่เร่งแซงแบบฉุกเฉิน บางครั้งมีอาการ "คิด" เล็กน้อยว่าจะใช้เกียร์ตำแหน่งไหนและความเร็วเท่าไหร่ดี ก่อนที่ระบบเกียร์จะทำงานและสั่งการให้เปลี่ยนตำแหน่ง พร้อมๆ กับรอบเครื่องยนต์ที่กวาดออกไป ในจุดนี้ยังคงมีการ "รอ" ให้สัมผัสได้อยู่บ้างครับ แต่ถ้าเร่งไล่รอบตามความเร็วตั้งแต่ต้นๆ นั้น ไม่มีปัญหา เครื่องยนต์ 2.0 ลิตรตัวนี้จัดจ้านไม่เบาเลย
นอกจากนี้ยังมีโหมด บวก/ลบ ให้เล่นสนุกเมื่อต้องการกำลังเร่งแซงโดยไม่ต้องกดคันเร่งจนมิด ซึ่งค่อนข้างจะตอบสนองได้ไวกว่าการคิกดาว์นพอสมควรเลย
อัตราการกินน้ำมันนั้นอาจไม่โดดเด่นนัก ด้วยการขับขี่แบบปกติใช้งานทั่วไป ที่จากตัวรถมีอุปกรณ์และชิ้นส่วนต่างๆ เต็มคัน ประกอบกับน้ำหนักตัวที่สูงเอาการ ทำให้ได้ค่าเฉลี่ยอัตราการสิ้นเปลืองอยู่ที่ 12 - 14 กิโลเมตรต่อลิตร (ใช้ระหว่างในเมืองและนอกเมือง) ส่วนถ้าขับขี่ต่างจังหวัดก็จะขยับขึ้นได้อีกราวๆ 14 - 16 กิโลเมตรต่อลิตร (ขึ้นอยู่กับการขับขี่ของแต่ละบุคคล) 
ช่วงล่างและความนุ่มนวล
จุดเด่นสำคัญของ "FORD" ก็คือช่วงล่างที่หาใครเลียนแบบได้ยากในรถระดับเดียวกัน ระบบช่วงล่างนั้นให้ความนุ่มนวลนั่งสบายแบบไม่มีอาการเต้น แม้ขับผ่านถนนผิวไม่เรียบ แต่ว่าในความนุ่มนวลนั้นกลับซ่อนความหนึบและหนักแน่นเอาไว้อย่างชัดเจน เมื่อเข้าทางโค้งหรือเปลี่ยนช่องทางแบบรวดเร็ว ก็ไม่มีอาการย้วยแต่อย่างใด มีเพียงอาการโคลงของตัวรถที่ล้อยกสูงทั่วไปที่ยังคงอยู่ แม้เวลาขับผ่านคอสะพานก็ยังคงหนักแน่น นับเป็นข้อดีที่ทำให้เอเวอเรสต์โดดเด่นกว่าใครในเรื่องนี้
พวงมาลัยคมกระชับใช้วงเลี้ยวแคบมาก หากเทียบกับรถระดับเดียวกัน น้ำหนักในความเร็วต่ำเบาสะดวกสบาย เลี้ยวถอยจอดง่าย ส่วนความเร็วสูงนั้นอาจต้องเกร็งมือสักหน่อย แต่ก็ยังพอมีความหนืดเพิ่มขึ้นมาบ้าง 
การทำงานของระบบช่วยเหลือการขับขี่ 
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่เป็นพระเอกของเอเวอเรสต์ก็คือ ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ Adaptive Cruise Control ที่นับว่าใช้งานสะดวก ง่ายๆ เพียงกดปุ่ม (รูปรถ+วงกลมลูกศรชี้) บนพวงมาลัยฝั่งขวา และกด SET เพื่อตั้งค่าความเร็ว รถก็จะวิ่งตามที่ตั้งเอาไว้ และเมื่อมีรถคันหน้าที่ความเร็วช้ากว่า ระบบก็จะชะลอให้ความเร็วเท่ากับคันหน้า ซึ่งสามารถตั้งระยะห่างได้ที่ปุ่มลูกศรบนฝั่งขวาของพวงมาลัยเช่นกัน และเมื่อรถคันหน้าใช้ความเร็วมากกว่าหรือไม่มีรถอยู่ด้านหน้าแล้ว ระบบก็จะเร่งความเร็วขึ้นไปตามที่ตั้งเอาไว้ หากต้องการยกเลิกก็เพียงแตะเบรกหรือกดปุ่ม Can/off รูปรถ+วงกลมลูกศรชี้) ระบบก็จะยกเลิกทันที โดยระบบนี้จะลดความเร็วต่ำลงมาที่ประมาณ 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และจะมีเสียงเตือนให้เหยียบเบรก เพราะยังไม่ถึงกับเป็นระบบจอดสนิทนิ่งได้ (Stop & GO) 
นอกจากนี้ยังมีระบบเตือนพร้อมช่วยเบรกอัตโนมัติ เมื่อรถคันหน้าความเร็วต่ำกว่า ระบบตรวจจับเจอว่าอาจเกิดอันตราย ไฟพร้อมเสียงจะเตือนขึ้น แต่หากยังไม่มีการตอบสนองของคนขับระบบก็จะเบรกให้อัตโนมัติ 
สรุปความคุ้มค่ากับราคา
Ford Everest Titanium+ 2.0L Bi-turbo 4x4 AT นับเป็นรถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง สมรรถนะสูงจากเครื่องยนต์ทรงพลังระบบขับเคลื่อนที่นุ่มนวล ความสะดวกสบายในรถมากมาย เหมาะกับการจราจรในประเทศไทยที่มีภัยรอบด้าน แม้ว่าเราจะขับระมัดระวังแค่ไหนก็ตาม นอกจากนี้ยังให้ความนุ่มนวล เงียบ สบาย ในขณะเดินทาง โดยเฉพาะหากขับขี่ทางไกลๆ คุณจะได้ความสบายในสไตล์รถยุโรปแท้ๆ ออปชั่นเหนือระดับกับหลังคาแก้วยาวตลอดคัน พร้อมระบบช่วยเตือนต่างๆ มากมาย 
และหากใครเป็นสายเที่ยวป่าเขาก็ไม่ต้องกังวล เพราะในเอเวอเรสต์รุ่นนี้นับเป็นสุดยอดแห่งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบเดียวที่อยู่ใน Raptor สามารถลุยไปได้ทุกที่ ปลอดภัยมั่นใจทุกสภาพถนน ค่าตัว 1,799,000 บาท ไม่สูงเกินไปนักเมื่อแลกกับฟังก์ชันและสมรรถนะระดับยุโรป นอกจากนี้ยังไม่ต้องกังวลเรื่องชิ้นส่วนเสียหายอีกต่อไป เพราะทางฟอร์ดกล้ารับประกันเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังรวม 10 ปี หรือ 150,000 กม. เรียกว่าใช้ยาวๆ จนลืมไปเลยครับ    
แท็กที่เกี่ยวข้อง ข่าวฟอร์ด รีวิวฟอร์ด 2021 ford 2021
CAR GURU
เขียนโดย เช็คราคา.คอม CAR GURU

พูดคุยกับกูรูได้ที่




เว็บไซต์นี้มีการเก็บคุกกี้เพื่อเพิ่มความพึงพอใจในการใช้งานเว็บไซต์ และช่วยให้เราปรับปรุง และนำเสนอเนื้อหาตรงตามความสนใจของท่าน ท่านสามารถดู Privacy Notice และ ดู Cookies Policy ของเราได้ ที่นี่ ทั้งนี้ ท่านจะยินยอมให้เราเก็บคุกกี้ทั้งหมด หรือให้เก็บแค่บางส่วนโดยการคลิกเลือก ตั้งค่า

ท่านสามารถเลือกให้ความยินยอมการเก็บคุกกี้เป็นเรื่องๆ ได้ที่นี่

เมื่อคุณเข้าชมเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่น checkraka เราอาจจัดเก็บ หรือดึงข้อมูลจากเบราว์เซอร์ของคุณในรูปแบบของคุกกี้ และเทคโนโลยีอื่นที่คล้ายคลึง เช่น tag และ pixel (เรียกรวมกันว่า “คุกกี้”) ซึ่งมักเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้โดยตรง แต่ช่วยให้คุณใช้งานเว็บไซต์ได้ปลอดภัย และตรงตามความต้องการมากขึ้น คุณอาจไม่ยินยอมให้เราเก็บคุกกี้บางประเภทได้ โดยการคลิกตามหัวข้อข้างล่างนี้

ประเภทคุกกี้
อ่านเพิ่มเติม ที่นี่
ยินยอม / ไม่ยินยอม
คุกกี้ที่จำเป็นต้องมีเสมอ
(Strictly Necessary)
คุกกี้สำหรับการใช้งานเว็บไซต์
(Functionality)
คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและวิเคราะห์
(Performance & Analytics)
คุกกี้เพื่อการตลาด
(Marketing)