ขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 700 บาทต่อวัน คุณเห็นด้วยหรือไม่?
จากกรณีที่ นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) ออกมาเรียกร้องให้ปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2561 เป็น 700 บาทต่อวัน เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงเท่ากันทั้งประเทศ โดยมีการอ่านแถลงการณ์ข้อเรียกร้องที่เสนอต่อรัฐบาล ว่า ที่ผ่านมาเคยเสนอในวันแรงงานแห่งชาติปี 2560 และในปี 2561 มีสาระหลักๆ 3 ข้อ คือ
1. รัฐต้องกำหนดค่าจ้างแรงงานที่เป็นธรรมให้ครอบคลุมผู้ใช้แรงงานทุกภาคส่วน เนื่องจากที่ผ่านมาลูกจ้างยังคงได้รับค่าจ้างที่ไม่พอต่อการดำรงชีพ ทำให้คนงานไม่มีเงินเพียงพอที่จะสร้างคุณค่าให้ชีวิตที่ ยากจน เป็นหนี้ ซึ่งก็จะส่งผลต่อการบริโภคและภาคการผลิตและอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่ให้ความสำคัญกับตัวเลขมากกว่าความเป็นจริงทางสังคม แท้จริงแล้วประมาณร้อยละ 60 ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เรียกว่า GDP มาจากคนงานและชนชั้นล่าง
2.ให้กำหนดนิยามค่าจ้างขั้นต่ำแรกเข้าให้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพตนเองและครอบครัวอีก 2 คน ตามหลักการขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และต้องเท่ากันทั้งประเทศ
3. กำหนดให้มีโครงสร้างค่าจ้าง และปรับค่าจ้างทุกปี อย่างไรก็ตามปัจจุบันรัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานยังคงพยายามที่จะดำเนินการปรับค่าจ้างตามกรอบความคิดเดิม คือปล่อยค่าจ้างลอยตัวในแต่ละจังหวัดให้ดำเนินการได้เอง และเพิ่มสูตรการคิดให้ซับซ้อนมากขึ้นซึ่งในอนาคตค่าจ้างอาจมีถึง 77 ราคา ไม่เกิดผลดีต่อระบบโครงสร้างค่าจ้าง และระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ จะเป็นการตอกย้ำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมในสังคมมากขึ้น
ซึ่งจากข้อเรียงร้องข้างต้น ก็ได้รับเสียงคัดค้านจากภาคเอกชนหลายกระแส ทั้งจาก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) หรือจากปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการค่าจ้าง
นายเจน นำชัยศิริ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ในส่วนของเอกชนมองว่าในอัตราดังกล่าวไม่สามารถเป็นไปได้ เนื่องจากในอัตรา 700 บาทต่อวันถือเป็นค่าแรงที่เกินในระดับปริญญาตรี ทั้งนี้หากมีการปรับขึ้นเชื่อว่าในภาคการค้า บริการ โดยเฉพาะผู้ประกอบการโรงแรม ค้าขาย จะได้รับผลกระทบจากการปรับค่าแรงนอกเหนือจากภาคอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามมองว่าภาครัฐจะดูแลค่าจ้างแรงงานอย่างเหมาะสม และคณะกรรมการไตรภาคีจะพิจารณาปัจจัยประกอบทั้งค่าครองชีพ พื้นที่ที่ปรับเพิ่มอย่างรอบคอบ เนื่องจากแต่ละพื้นที่แต่ละจังหวัดมีเงื่อนไขที่แตกต่างกัน
ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดค่าจ้าง) กล่าวว่า การเรียกร้องขอปรับค่าจ้างมากถึง 700 บาท เป็นไปไม่ได้ การปรับค่าจ้างจะต้องอยู่บนความเป็นจริง ต้องพิจารณาสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ การพิจารณาค่าจ้างเป็นระบบไตรภาคี มีอนุกรรมการค่าจ้างแต่ละจังหวัดรวบรวมข้อมูล ปัจจัยชี้วัดทางเศรษฐกิจ ซึ่งระบบไตรภาคีมีกฎหมายกำหนดไว้จะให้ยกเลิกไปใช้วิธีอื่นไม่ได้
ในปีที่ผ่านมากลุ่มผู้ใช้แรงงานเรียกร้องปรับขึ้น 360 บาท แต่สภาพเศรษฐกิจช่วงนั้นยังไม่ดีจึงปรับมากไม่ได้ ครั้งแรกคาดว่าน่าจะปรับขึ้นได้ถึง 320 บาท แต่เมื่อนำข้อมูลการปรับค่าจ้างและปัจจัยชี้วัดทางเศรษฐกิจมาเข้าสูตรคำนวณ สามารถปรับขึ้นได้ 5-10 บาท ใน 69 จังหวัด ค่าจ้างจาก 300 บาทขยับไปเป็น 305, 308 และ 310 บาท ส่วนอีก 8 จังหวัด ไม่ปรับขึ้น ยังคงที่ 300 บาท เพราะสูตรกำหนดให้ปรับขึ้นไม่ถึง 1 บาท แต่ในปีนี้เศรษฐกิจโตขึ้นจึงจะมีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำแน่นอน และอาจจะปรับขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา แต่จะไม่ใช้การปรับขึ้นอัตราเดียวกันทั่วประเทศ เพราะแต่ละจังหวัดมีสภาพเศรษฐกิจ มีปัจจัยต้นทุนแตกต่างกัน ค่าจ้างจึงต้องแตกต่างกัน
ทั้งนี้ นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธาน คสรท. กล่าวว่า ตัวเลข 600-700 บาท ที่พูดออกไป เป็นเพียงการยกเอาผลการสำรวจของ คสรท. เมื่อปี 2554 ซึ่งผลสำรวจค่าจ้างที่เพียงพอในปีนั้นอยู่ที่ 560 บาท แต่ผ่านมาแล้วหลายปี ด้วยอัตราเงินเฟ้อและทุกอย่างเปลี่ยนไปจึงทำให้ค่าจ้างที่คน 1 คน จะสามารถเลี้ยงดูคนในครอบครัวได้อีก 2 คน จะต้องอยู่ที่ 600-700 บาท เป็นการเปรียบเทียบว่าปัจจุบันต้องอัตรานี้ถึงจะอยู่ได้ เป็นเพียงตัวเลขตามการคำนวณ เป็นสูตรคิด จะได้แค่ไหนก็ต้องมาคุยกันในเวทีที่หลากหลายครอบคลุม ไม่ใช่แค่ไตรภาคี เพราะสุดท้ายลูกจ้างก็แพ้เสียงรัฐกับนายจ้าง